ความตึงเครียดในตะวันออกกลางหลังจากสหรัฐโจมตีทางอากาศใส่ซีเรีย

Bá Thi
Chia sẻ
(VOVWORLD) - ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สถานการณ์ในตะวันออกกลางทวีความตึงเครียดมากขึ้นอย่างกะทันหันหลังจากที่กองทัพสหรัฐทำการโจมตีทางอากาศอย่างนองเลือดใส่เป้าหมายหลายแห่งในภาคตะวันออกของซีเรีย หลายประเทศและองค์กรระหว่างประเทศต่างๆได้แสดงท่าทีทันที ในขณะที่บรรดานักวิเคราะห์แสดงความวิตกกังวลว่า สถานการณ์อาจบานปลายและมีความอันตรายมากขึ้นในเวลาที่จะถึง  
ความตึงเครียดในตะวันออกกลางหลังจากสหรัฐโจมตีทางอากาศใส่ซีเรีย - ảnh 1ภาพถ่ายจากดาวเทียมเกี่ยวกับพื้นที่ใกล้ชายแดนอิรัก - ซีเรียก่อนและหลังการโจมตีทางอากาศของสหรัฐเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ (Maxar)
   

ตามแหล่งข่าวระหว่างประเทศ การโจมตีทางอากาศดังกล่าวของสหรัฐเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 26 กุมภาพันธ์ตามคำสั่งของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 17 คน เป้าหมายของการโจมตีคือ "สถานที่ที่เพนตากอนถือว่าได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในภาคตะวันออกของซีเรียเพื่อตอบโต้การโจมตีใส่กองกำลังสหรัฐและกองกำลังพันธมิตรในอิรักเมื่อเร็วๆนี้ รวมถึงภัยคุกคามต่อกองกำลังเหล่านี้" นี่คือการโจมตีที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในการโจมตีของสหรัฐใส่ดินแดนของซีเรียในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อีกทั้งเป็นการบ่งบอกถึงการกลับมาแทรกแซงอย่างหนักอีกครั้งของกองทัพสหรัฐในซีเรีย หลังการโจมตีไม่นาน ประชาคมระหว่างประเทศได้ออกมาแสดงท่าทีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

คัดค้าน

ทางการซีเรียได้ประณามเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างรุนแรงโดยถือว่า นี่เป็น "สัญญาณไม่ดี" จากทางการชุดใหม่ของของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ต่อจากนั้น ในจดหมายที่ส่งถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ กระทรวงต่างประเทศซีเรียได้กล่าวหาว่า สหรัฐ "ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรของสหประชาชาติ" อีกทั้งเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีมาตรการเพื่อขัดขวางการโจมตีของสหรัฐในดินแดนของซีเรียทันที

ในวันเดียวกันนี้ ในการสนทนาทางโทรศัพท์กับนาย ไฟซัล เม็กเด็ด (Faisal Mekdad) รัฐมนตรีต่างประเทศของซีเรีย นาย โมฮัมหมัด จาวาด ซาริฟ (Mohammad Javad Zarif)รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านได้แสดงความสามัคคีกับรัฐบาลซีเรียและเรียกร้องให้ประเทศตะวันตกปฏิบัติตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับซีเรีย

เช่นเดียวกันทัศนะคัดค้านการโจมตีดังกล่าว รัสเซียและจีนได้ตำหนิการโจมตีทางอากาศของสหรัฐใส่ซีเรียอย่างเป็นทางการ โดยถือว่า นี่คือการกระทำที่ละเมิดกฎหมายสากล และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ความเคารพอธิปไตย เอกราชและบูรณภาพแห่งดินแดนของซีเรีย หลีกเลี่ยงไม่ทำให้สถานการณ์ในซีเรียซับซ้อนมากขึ้น ในขณะเดียวกัน สำนักข่าว Sputniknews ได้อ้างแหล่งข่าวจากกระทรวงต่างประเทศรัสเซียว่า "การโจมตีเกิดขึ้นในดินแดนของประเทศที่มีอธิปไตยซึ่งเป็นประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ นี่คือการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศที่ไม่สามารถยอมรับได้”

ในขณะเดียวกัน ภายในประเทศสหรัฐก็มีความคิดเห็นจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับปฏิบัติการดังกล่าวของทางการของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ซึ่ง ส. ส. พรรคเดโมแครตบางคนได้เผยว่า รัฐสภาสหรัฐไม่อนุมัติให้ประธานาธิบดีใช้กำลังในซีเรีย โดยส.ส Ro Khanna ได้ระบุว่า "ไม่มีเหตุผลใดๆเพื่อให้ประธานาธิบดีออกคำสั่งโจมตีเพื่อปกป้องตนเองจากภัยคุกคามที่ใกล้เกิดขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐสภา" ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในสหรัฐหลายคนได้แชร์ข้อความบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เลขานุการฝ่ายสารนิเทศของทำเนียบขาว Jen Psaki โพสต์เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมปี 2017 ที่ตำหนิประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เห็นชอบให้ทำการโจมตีใส่ซีเรีย

ความวิตกกังวล

ในการอธิบายเกี่ยวกับการโจมดีดังกล่าว เมื่อค่ำวันที่ 26 กุมภาพันธ์ กระทรวงกลาโหมสหรัฐได้ออกประกาศโดยยืนยันว่า การโจมตีทางอากาศมีวัตถุประสงเพื่อตอบโต้การโจมตีกองกำลังสหรัฐและพันธมิตรที่เกิดขึ้นล่าสุดในอิรัก และย้ำว่า การกระทำนี้ได้รับการปฏิบัติตามแนวทางลดความตึงเครียดในซีเรียและอิรัก    

แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม การโจมตีทางอากาศของสหรัฐใส่ภาคตะวันออกของซีเรียเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ก็ถูกคัดค้านจากประชามติโลกและในประเทศสหรัฐ โดยบรรดานักวิเคราะห์ได้แสดงความเห็นว่า ปฏิกิริยาภายในของสหรัฐได้สะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่กองทัพสหรัฐและประเทศสหรัฐอาจต้องเผชิญกับการโจมตีทางอากาศ เพราะการโจมตีของสหรัฐเหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่า สหรัฐกำลังกลับเข้าไปแทรกแซงวิกฤตในซีเรียมากขึ้น ซึ่งกำลังมีความผันผวนอย่างซับซ้อน นี่ก็หมายความว่า กองกำลังสหรัฐอาจตกอยู่ในวิกฤตที่ไม่อาจคาดเดาได้

นอกจากนั้น การโจมตีนี้ของสหรัฐอาจทำให้ทั้งสหรัฐและพันธมิตรต้องเผชิญกับการตอบโต้จากกองกำลังที่สนับสนุนอิหร่านในภูมิภาค ซึ่งจะสร้างภัยคุกคามต่อผลประโยชน์และความพยายามของรัฐบาลสหรัฐในการสร้างสรรค์สันติภาพในภูมิภาค โดยเฉพาะกระบวนการสันติภาพปาเลสไตน์ – อิสราเอลและปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่านซึ่งกำลังมีความคืบหน้าที่น่ายินดีในเวลาที่ผ่านมา./.     

คำติชม