มหาชัยชนะฤดูใบไม้ผลิปี1975นั้นไม่เพียงแต่เป็นการยุติสงครามต่อต้านสหรัฐอเมริกาเพื่อกู้ชาติเป็นเวลา21ปีเท่านั้นหากยังยุติแอกปกครองของลัทธิอาณานิคมเก่าและอาณานิคมใหม่ที่ยืดเยื้อนานถึง117ปีตั้งแต่ปี1858-1975ในเวียดนาม ช่วยเปิดศักราชใหม่ในประวัติศาสตร์ของประชาชาติเวียดนาม นั่นคือศักราชแห่งเอกราช เอกภาพและก้าวไปสู่สังคมนิยม
ชัยชนะของความปรารถนาแห่งเอกราชประชาชาติและรวมประเทศเป็นเอกภาพ
มหาชัยชนะฤดูใบไม้ผลิเมื่อ40ปีก่อนเป็นผลแห่งการรวมพลังของทหารและประชาชนทั้งประเทศ นั่นคือพลังแห่งประชาชาติ พลังแห่งสงครามประชาชนอย่างมหัศจรรย์พร้อมความเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ของพี่น้องประชาชนและทหารในแนวหน้าภาคใต้และการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของแนวหลังภาคเหนือภายใต้คำขวัญ “ข้าวไม่ขาดซักเม็ด กำลังไม่ขาดซักคน” และ “ต้องฝ่าภูเจื่องเซินเพื่อกู้ชาติ” พลตรีเจิ่นหงอกโถ รองนายกสมาคมผู้เคราะห์ร้ายจากสารพิษสีส้มได อ๊อกซินเวียดนาม อดีตหัวหน้าหน่วยประสานการสู้รบของกองพลทหารที่เข้าร่วมยุทธนาการโฮจิมินห์ได้กล่าวถึงช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์เมื่อหลายสิบปีก่อนว่า“ตอนนั้นที่สมรภูมิภาคใต้ดุเดือดมาก ซึ่งไม่เหมือนกับสงครามการต่อสู้ทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะทหารเวียดนามมีแต่อาวุธแบบธรรมดาทั่วไปพร้อมประชาชนผู้ใช้แรงงานทั้งประเทศที่ทำการลุกขึ้นต่อสู้ต่อต้านกับกองทัพของประเทศมหาอำนาจใหญ่ของโลกอย่างหาญกล้า”
ภายหลังคว้าชัยชนะในท้องถิ่นต่างๆ จนถึงปลายเดือนเมษายนปี1975 กองทัพและประชาชนเวียดนามพร้อมจิตใจอันฮึกเหิมแห่งการลุกขึ้นต่อสู้ได้เคลื่อนพลมุ่งหน้าไปปลดปล่อยไซ่ง่อน ถึงเวลา11.30น วันที่30เมษายนปี1975 ธงชัยก็ได้โบกสะบัดเหนือท้องฟ้าทำเนียบเอกราช อันเป็นการเสร็จสิ้นสงครามกู้ชาติของชาวเวียดนามที่ยาวนานถึง21ปี รองศ.ดร.เหงวียนแหมงห่า หัวหน้าสถาบันประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามได้ยืนยันว่า“บรรพชนของเรามีคำว่า “ทำสงครามเพื่อสันติภาพเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแต่เนิ่นนาน” โดยประชาชาติเวียดนามเป็นประชาชาติที่ใฝ่สันติภาพแต่ต้องทำการต่อสู้ต่อต้านศัตรูผู้รุกรานมาตลอดเพื่อช่วงชิงเอกราช สันติภาพและรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียว แน่นอนว่าเมื่อเกิดสงครามก็ต้องมีความสูญเสียและความปวดร้าวสูญเสียของเราในสงครามต่อต้านอเมริกาเพื่อกู้ชาตินั้นยิ่งใหญ่มากแต่เราก็ยอมเพื่อแลกกับเอกราช สันติภาพและความเป็นปึกแผ่นของประเทศ”
ชัยชนะของจิตใจแห่งความสามัคคีชนทั้งชาติ
ความสามัคคี ความเป็นเอกฉันท์ของทั้งพรรคและประชาชน บวกกับความสามัคคีของนานาประเทศถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญเพื่อสร้างชัยชนะ โดยเฉพาะมหาชัยชนะเมื่อ40ปีก่อน พันเอก เจิ่นหงอกลอง รองศ. ดร.และรองหัวหน้าสถาบันประวัติศาสตร์การทหารเวียดนามกล่าวว่า“ถ้าหากมองในด้านศักยภาพทางเศรษฐกิจและการทหารก็สามารถเห็นชัดๆว่าเวียดนามเสียเปรียบ แต่ถ้ามองในด้านพลังของชนทั้งชาติเวียดนามกลับเหนือกว่า ซึ่งพลังอันแข็งแกร่งนั้นได้ช่วยให้ประชาชาติเวียดนามคว้าชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่าจนนำไปสู่การลุกขึ้นครั้งใหญ่ที่สามารถขับไล่กองทัพสหรัฐอเมริกาและโค่นล้มทางการระบอบสาธารณะรัฐเวียดนามรวมประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งเดียว”
ปัจจุบันสงครามได้กลายเป็นความทรงจำแห่งอดีตแต่ชาวเวียดนามและมิตรประเทศยังคงเอ่ยถึงบทเรียนแห่งประวัติศาสตร์อันล้ำค่าของภารกิจการต่อสู้กู้ชาตินั้นด้วยความภาคภูมิใจ นั่นคือบทเรียนแห่งลัทธิรักชาติ การเชิดชูจิตใจแห่งความสามัคคีชนทั้งชาติ บทบาทการนำของพรรคทั้งในการวางแนวทางการต่อสู้และการชี้นำการปฏิบัติในสถานการณ์ที่เป็นจริง นอกจากนั้นยังต้องย้ำถึงบทเรียนเกี่ยวกับการใช้พลังของชนทั้งชาติให้เป็นประโยชน์ การประสานพลังแห่งชาติกับพลังจากยุคสมัยและพลังจากต่างประเทศ โดยเฉพาะของประชาชนที่ก้าวหน้าในทั่วโลกเพื่อสนับสนุนภารกิจการช่วงชิงเอกราช
ทั้งนี้ กระบวนการต่อสู้กับสหรัฐอเมริกาเพื่อกู้ชาติได้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความถูกต้องทั้งด้านแนวคิดทางยุทธศาสตร์การต่อสู้ รูปแบบการปฏิวัติ แนวทางการชี้นำเชิงยุทธศาสตร์ วิธีการปฏิบัติและศิลปะการทหารเวียดนามภายใต้การชี้นำอย่างปรีชาสามารถของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม โดยแนวคิดและเจตนารมณ์นั้นก็ยังคงได้รับการประยุกต์ใช้อย่างสร้างสรรค์ในภารกิจการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงใหม่ประเทศเวียดนามในปัจจุบัน./.