นี่เป็นการเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีครั้งแรกของประธานประเทศเวียดนามนับตั้งแต่ปี 1990 หลังจากที่เยอรมนีได้รวมประเทศเป็นเอกภาพและประจวบกับโอกาสฉลองครบรอบ 40 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ

ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับเยอรมนีกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับการสถาปนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เมื่อปี 2011 ในโอกาสการเยือนเวียดนามของนาง อังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี

40 ปีได้ผ่านพ้นไปนับตั้งแต่ที่ทั้งสองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อเดือนกันยายนปี 1975 ความสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมือระหว่างเวียดนามกับเยอรมนีนับวันยิ่งพัฒนาอย่างดีงามและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสามารถเห็นได้ชัดจากความร่วมมือทางการเมืองและการทูตที่ใกล้ชิดผ่านการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนทุกระดับ โดยเฉพาะในระดับสูง พร้อมกับการจัดตั้งและปฏิบัติระเบียบความร่วมมือต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กลุ่มบริหารด้านยุทธศาสตร์ การสนทนาเกี่ยวกับเศรษฐกิจมหภาค การทาบทามทางการเมืองระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งที่โดดเด่นคือทั้งสองประเทศได้ลงนามในปฏิญญาฮานอยว่าด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ นายชูต๊วนก๊าป อดีตเอกอัครราชทูตเวียดนามประจำสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและอุปนายกสมาคมมิตรภาพเวียดนาม – เยอรมนีเผยว่า “เมื่อเดือนตุลาคมปี 2011 นายกรัฐมนตรีเวียดนามและเยอรมนีได้ลงนามในปฏิญญาว่าด้วยการสร้างความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ ซึ่งในช่วงนั้น เยอรมนีเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุธทศาสตร์กับเวียดนาม อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความพิเศษและบทบาทสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ บนพื้นฐานดังกล่าว ในหลายปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศก็ได้รับการพัฒนายิ่งขึ้น ซึ่งที่น่าสนใจคือจากการพบปะอย่างต่อเนื่องของผู้นำระดับสูงทั้งสองประเทศได้มีความเห็นพ้องกันในข้อตกลงการเมืองที่สำคัญต่างๆ”

ควบคู่กับความร่วมมือทางการเมือง ความร่วมมือทางการค้าระหว่างสองประเทศก็ได้ประสบผลงานที่น่าประทับใจในตลอด 5 ปีที่ผ่านมา โดยสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเป็นหุ้นส่วนการค้าชั้นนำของเวียดนามในสหภาพยุโรป โดยยอดสินค้าที่เวียดนามส่งออกไปยังเยอรมนีคิดเป็นร้อยละ 20 ของมูลค่าการส่งออกในตลาดยุโรป มูลค่าการค้าต่างตอบแทนเมื่อปี 2014 บรรลุ 7.8 พันล้านดอลลาห์สหรัฐ ส่วนใน 6 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าการค้าต่างตอบแทนได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 และคาดว่าในปี 2015 นี้จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เยอรมนียังเป็นประเทศที่มีบทบาทเข้มแข็งในกระบวนการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีเวียดนาม – อียูหรืออีวีเอฟทีเอและถือเวียดนามเป็นตลาดที่มีศักยภาพและพัฒนาอย่างรวดเร็วในเอเชีย ทั้งสองฝ่ายกำลังปฏิบัติโครงการร่วมมือต่างๆและที่น่าสนใจคือโครงการบ้านเยอรมนีและโครงการรถไฟใต้ดินสายที่ 2 ในนครโฮจิมินห์ นาย Erwin Schweisshelm หัวหน้าตัวแทนสถาบัน Friedrich Erbert ประจำเวียดนามให้ข้อสังเกตุว่า “ปัจจุบันนี้ เยอรมนีเป็นหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่ในสหภาพยุโรปของเวียดนาม การลงทุนโดยตรงในเวียดนามของเยอรมนียังมีศักยภาพมาก ซึ่งมีการขยายตัวอย่างน่าประทับใจในเวลาที่ผ่านมา”

ในด้านความร่วมมือเพื่อการพัฒนา เยอรมนีได้จัดสรรเงินจำนวน 2 พันล้านดอลลาห์สหรัฐให้แก่โครงการโอดีเอในเวียดนาม พร้อมทั้งเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญที่สุดของเวียดนามในด้านการศึกษาฝึกอบรมและการสอนอาชีพ โดยเฉพาะความสัมพันธ์เยอรมนี – เวียดนามในปัจจุบันยังคงมีพื้นฐานที่เข้มแข็งเนื่องจากมีชาวเวียดนามพำนักอาศัยในเยอรมนีกว่า 1 แสนคนและมีคนเวียดนามประมาณ 1 แสนคนที่สามารถพูดภาษาเยอรมันได้ ซึ่งนี่คือสะพานเชื่อมที่สำคัญเพื่อเพิ่มความเข้าใจและขยายความร่วมมือในระดับประชาชนระหว่างสองประเทศ

การที่ผู้นำรัฐบาลทั้งสองประเทศได้ลงนามในปฏิญญาฮานอยเมื่อปี 2011 เกี่ยวกับการยกระดับความสัมพันธ์ขึ้นเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของทั้งสองฝ่ายในการผลักดันความสัมพันธ์ร่วมมือเศรษฐกิจ – การค้าที่กำลังประสบความสำเร็จในหลายปีที่ผ่านมาตลอดจนความร่วมมือในด้านสำคัญต่างๆ เช่น ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา การอนุรักษณ์สิ่งแวดล้อม การศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้พัฒนายิ่งขึ้น ตามความเห็นของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศ ความสัมพันธ์ร่วมมือมิตรภาพเยอรมนี – เวียดนามจะเข้าสู่ส่วนลึกและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อโครงการร่วมมือหลักๆ เช่น มหาวิทยาลัยเวียดนาม – เยอรมนีได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ การผลักดันให้สถานประกอบการเยอรมนีเข้าร่วมโครงการฝึกสอนอาชีพให้แก่คนเวียดนามก็เป็นโครงการร่วมมือที่สำคัญในอนาคตและเยอรมนียังสนับสนุนเวียดนามปฏิบัติโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์

จากความสัมพันธ์มิตรภาพที่ดีงามในตลอด 40 ปีที่ผ่านมาบวกกับความพยายามและศักยภาพที่มีอีกมากของทั้งสองประเทศ การเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีของประธานประเทศเวียดนามเจืองเติ๊นซางจะเปิดโอกาสแห่งความร่วมมือใหม่ สร้างพลังขับเคลื่อนให้แก่การผลักดันความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างสองประเทศให้นับวันยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อมีส่วนร่วมต่อสันติภาพ เสถียรภาพและการพัฒนาของภูมิภาคและโลก.