เลขาธิการใหญ่พรรค ประธานประเทศเวียดนาม โตเลิมและนาย ฟิลิปเป จาซินโต นยูซีประธานาธิบดีสาธารณรัฐโมซัมบิก |
การเยือนเวียดนามครั้งนี้ได้มีขึ้นในสภาวการที่ทั้งสองประเทศกำลังมุ่งสู่การฉลอง ครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2025 ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นของพัฒนาการที่ดีงามระหว่างสองประเทศในเวลาที่จะถึง
จุดเด่นของความร่วมมือระหว่างสองประเทศ
เวียดนามและโมซัมบิกได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 25 มิถุนายนปี 1975 ซึ่งตรงกับวันที่ประเทศโมซัมบิกประกาศเอกราช ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์มิตรภาพที่มีมาช้านานระหว่างสองประเทศมีรากฐานจากการสนับสนุนระหว่างกันในการต่อสู้เพื่อช่วงชิงเอกราชของประชาชาติ ซึ่งชาวโมซัมบิกรุ่นแล้วรุ่นเล่าต่างแสดงความเคารพนับถือและมีความรักต่อประธานโฮจิมินห์และพลเอกหวอเงวียนย้าป
ความสัมพันธ์สามัคคีมิตรภาพและความร่วมมือที่มีมาช้านานระหว่างเวียดนามกับ โมซัมบิกได้รับการทำนุบำรุงจากผู้นำและประชาชนของทั้งสองประเทศ พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามและพรรคแนวร่วมปลดปล่อยโมซัมบิกหรือ FRELIMO ที่กุมอำนาจได้มีความสัมพันธ์มิตรภาพที่มีมาช้านานและดีงาม ซึ่งสร้างพื้นฐานทางการเมืองที่มั่นคงเพื่อกระชับความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างสองประเทศในหลายด้านและมีบทบาทกำหนดการขยายความสัมพันธ์ร่วมมือทวิภาคีในหลายด้านให้นับวันจริงจังและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นโยบายที่เสมอต้นเสมอปลายของสองประเทศคือ ให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์มิตรภาพที่มีมาช้านานและความสัมพันธ์หุ้นส่วนเวียดนาม - โมซัมบิก เวียดนามเป็นประเทศที่ได้รับความสนใจเป็นอันดับต้นๆในนโยบายการต่างประเทศที่มุ่งสู่ทิศตะวันออกของโมซัมบิก ส่วนพรรคและรัฐเวียดนามก็ให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์มิตรภาพที่มีมาช้านานกับบรรดาประเทศเพื่อนมิตรในแอฟริกา รวมทั้งประเทศโมซัมบิกด้วย
ผู้นำทั้งสองท่านเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามข้อตกลงร่วมมือฉบับต่างๆ |
บนพื้นฐานความสัมพันธ์มิตรภาพที่มีมาช้านานและดีงามนั้น ในตลอดเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ร่วมมือระหว่างสองประเทศได้บรรลุผลที่น่ายินดีในหลายด้าน
ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนคือจุดเด่นของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ซึ่งบริษัทโทรคมนาคม Movitel ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของเครือบริษัท Viettel เวียดนามกับบริษัท SPI ของโมซัมบิก ที่ใช้เงินลงทุนกว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นตัวอย่างแห่งความสำเร็จในความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ นับตั้งแต่ต้นปี 2024 บริษัท Movitel ได้กลายเป็นบริษัทที่ให้บริการโทรคมนาคมและเทคโนโลยีด้านโทรคมนาคมที่มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในโมซัมบิกและติดกลุ่ม 3 บริษัทที่สมทบเงินเข้างบประมาณแผ่นดินของโมซัมบิกมากที่สุด
มูลค่าการค้าต่างตอบแทนในปี 2023 ได้บรรลุเกือบ 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเวียดนามส่งออกข้าว ปุ๋ยและสินค้าต่างๆ รวมมูลค่า 127 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการนำเข้าสินค้าของเวียดนามอยู่ที่เกือบ 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นถ่านหินและมะม่วงหิมพานต์
ในด้านการเกษตรทั้งสองประเทศได้ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติโครงการเกษตรต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น โครงการร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาธัญญาหารในโมซัมบิกช่วงปี 2013 - 2017 โดยเวียดนามได้สนับสนุนเงิน 1.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในด้านสาธารณสุขและการศึกษา เวียดนามได้ส่งคณะผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขและการศึกษาหลายคณะไปปฏิบัติงานในโมซัมบิก นอกจากนี้ทั้งสองประเทศยังได้ลงนามข้อตกลงร่วมมือหลายฉบับในด้านการค้า สาธารณสุข การเกษตร การศึกษา การบิน การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ความมั่นคงและกลาโหม เป็นต้น
ทั้งสองประเทศยังมีการประสานงานและสนับสนุนกันอย่างเข้มแข็งในฟอรั่มพหุภาคีต่างๆอยู่เสมอ แลกเปลี่ยนคณะผู้แทนทุกระดับ โดยเฉพาะระดับสูง ทำการเจรจาและพูดคุยทางโทรศัพท์อย่างต่อเนื่อง
กระชับความสัมพันธ์ร่วมมือมิตรภาพที่มีมาช้านานให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
การเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีโมซัมบิกและภริยาในครั้งนี้ตามคำเชิญของเลขาธิการใหญ่พรรค ประธานประเทศโตเลิมและภริยาได้แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาของโมซัมบิกที่จะเสริมสร้างและกระชับความสัมพันธ์ร่วมมือมิตรภาพที่มีมาช้านานให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมทั้งให้ความสำคัญต่อบทบาทและสถานะของเวียดนามใน ภูมิภาคและบนเวทีโลกอีกด้วย
การเยือนดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่า การปฎิบัติแนวทางการต่างประเทศของการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามสมัยที่ 13 โครงการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับบรรดาประเทศตะวันออกกลางและแอฟริการะยะปี 2016 - 2025 โดยยืนยันถึงแนวทางที่เสมอต้นเสมอปลายของพรรคและรัฐเวียดนามว่า ให้ความสำคัญต่อความร่วมมือมิตรภาพที่มีมาช้านานกับประเทศเพื่อนมิตรในแอฟริกา รวมทั้งโมซัมบิก
จากความสัมพันธ์ที่มีมาช้านานอย่างดีงามและผลที่น่ายินดีในความร่วมมือระหว่างสองประเทศที่เวลาที่ผ่านมา การเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีโมซัมบิกและภริยาจะเปิดกรอบความร่วมมือใหม่และสร้างพื้นฐานให้กรอบความร่วมมือที่มีอยู่ระหว่างสองประเทศให้พัฒนาอย่างเข้มแข็งและประสบประสิทธิภาพมากขึ้น.