(VOVworld) – ในตลอด 60 ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเวียดนามกับอินโดนีเซียได้พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งและได้ยกระดับความสัมพันธ์ขึ้นเป็นความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์โดยสมาคมมิตรภาพเวียดนาม-อินโดนีเซียได้มีส่วนร่วมไม่น้อยต่อความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างสองประเทศ ในโอกาสฉลองครบรอบ 60 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเวียดนามกับอินโดนีเซียซึ่งตรงกับวันที่ 30 ธันวาคม การประชุมใหญ่ผู้แทนครั้งที่ 3 สมาคมมิตรภาพเวียดนาม-อินโดนีเซียที่เพิ่งมีขึ้น ณ กรุงฮานอยได้กำหนดหน้าที่หลักคือ ผลักดันความไว้วางใจ ส่งเสริมมิตรภาพและการพบปะสังสรรค์ของประชาชนระหว่างสองประเทศผ่านสื่อมัลติมิเดีย

คณะกรรมการบริหารชุดใหม่จำนวน 17 คนของสมาคมมิตรภาพเวียดนาม-อินโดนีเซียมาจากการคัดเลือกโดยมีวาระดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2015-2020 คณะกรรมการชุดนี้ซึ่งเป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้น มีความรักต่อประเทศและชาวอินโดนีเซียได้ประชุมและวางแผนจัดกิจกรรมต่างๆที่สร้างสรรค์ ทันสมัย มีการผลักดันให้จัดการพบปะสังสรรค์ระหว่างสองประเทศโดยนาย เหงียนดังเตี๊ยน ประธานสถานีวิทยุเวียดนามซึ่งเป็นสำนักข่าวใหญ่ของเวียดนามและมีบทบาทสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯซึ่งได้รับการคาดการณ์ว่า จะสร้างการเชื่อมโยงที่มีประสิทธิภาพผ่านสื่อสารมวลชน นาย เหงียนดังเตี๊ยนได้แสดงความเห็นว่า “เวียดนามและอินโดนีเซียมีความคล้ายคลึงกันในด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยเฉพาะในการพัฒนาการทูต ปีนี้ในโอกาสฉลองครบรอบ 60 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเวียดนาม-อินโดนีเซีย พวกเราได้กำหนดหน้าที่หลักคือขยายสัมพันธไมตรีที่พัฒนามาอย่างมากและการพัฒนาดังกล่าวนับวันเข้าสู่ส่วนลึกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในเร็วๆนี้ พวกเราจะผลักดันโครงการพบปะสังสรรค์ทางวัฒนธรรมและการสื่อสาร เช่นการจัดพิธีฉลอง 60 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต การแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างสถานีวิทยุเวียดนามกับสถานีวิทยุแห่งชาติอินโดนีเซีย”

เพื่อสานต่อและส่งเสริมเกียรตประวัติ ตลอดจนกิจกรรมต่างๆที่ได้ดำเนินการมาตลอด 10 ปี สมาคมมิตรภาพเวียดนาม-อินโดนีเซียสมัยที่ 3 ได้ให้คำมั่นว่า จะยังคงดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์ แนะนำข้อมูลให้แก่ประชาชนทุกชนชั้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ประเทศ คนเวียดนาม-อินโดนีเซียและสัมพันธไมตรีที่มีมาช้านาน ตลอดจนความร่วมมือในหลายด้านระหว่างสองประเทศ ให้การช่วยเหลือ เป็นสะพานเชื่อมเพื่อผลักดันเศรษฐกิจ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และสาธารณสุข แสวงหากิจกรรมที่มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นเพื่อพัฒนาสัมพันธไมตรีและความเข้าใจระหว่างประชาชน เสริมสร้างและพัฒนาสัมพันธไมตรีและความร่วมมือในหลายด้าน สมาคมมิตรภาพเวียดนาม-อินโดนีเซียที่ได้รับการจัดตั้งเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมปี2005ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

นาย Mayerfas เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำเวียดนามได้แสดงความเห็นว่า บทบาทของสมาคมมิตรภาพเวียดนาม-อินโดนีเซียมีความหมายสำคัญมาก เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในความสัมพันธ์ร่วมมือระหว่างสองประเทศ “ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนมีความสำคัญมากต่อความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งสอง  ภายใต้การนำของสมาพันธ์องค์การมิตรภาพเวียดนาม สมาคมมิตรภาพเวียดนาม-อินโดนีเซียได้มีบทบาทสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ สมาคมฯได้จัดการพบปะระหว่างประชาชน จัดเวทีเจรจาและจัดงานศิลปะหลายครั้งอย่างเข้มแข็งเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนทั้งสองประเทศได้พบปะสังสรรค์และร่วมมือในด้านต่างๆ”

จากการจัดตั้งสมาคมมิตรภาพดังกล่าว ประชาชนของทั้งสองประเทศได้มีความสัมพันธํ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นและจากประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของสมาคมมิตรภาพเวียดนาม-อินโดนีเซียหรือ VIFA ฝ่ายอินโดนีเซียจึงได้ตัดสินใจจัดตั้งสมาคมมิตรภาพอินโดนีเซีย-เวียดนามตามข้อตกลงระหว่างสองฝ่ายในแผนปฏิบัติการปี 2014-2018 เพื่อแปรความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เวียดนาม-อินโดนีเซียหรือ IVFA ให้เป็นรูปธรรมและคาดหวังว่า สมาคมนี้จะเป็นสะพานเชื่อมที่ใกล้ชิดกับ VIFA นาย เหงียนดังเตี๊ยนได้เผยว่า “สมาคมมิตรภาพอินโดนีเซีย-เวียดนามได้รับการจัดตั้งโดยนายกสมาคมฯคือนาย Budiasa Sastrawinata ผู้อำนวยการใหญ่กลุ่มบริษัท Ciputra ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่มาลงทุนในเวียดนามเป็นเวลากว่า 20 ปี ด้วยการพัฒนาที่เป็นไปอย่างสะดวกนี้ ผมเชื่อมั่นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองสมาคมมิตรภาพจะพัฒนามากขึ้นและมีเสียงพูดเดียวกัน มีการจัดกิจกรรมต่างๆที่เป็นรูปธรรมเพื่อผลักดันความสัมพันธ์ประชาชนของทั้งสองประเทศเพื่อการพัฒนาในด้านอื่นๆ เช่นเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและการสื่อสาร”

ท่ามกลางบรรยากาศเพื่อเตรียมฉลองครบรอบ 60 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศและการมุ่งสู่การจัดตั้งประชาคมอาเซียนในปลายปีนี้ พวกเราเชื่อมั่นว่า สมาคมมิตรภาพเวียดนาม-อินโดนีเซียและสมาคมมิตรภาพอินโดนีเซีย-เวียดนามจะปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นสะพานเชื่อมเป็นอย่างดี ช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศก้าวไกลมากขึ้นในระยะต่อไป.