(VOVWorld) – ผู้นำเวียดนามและอินโดนีเซียให้ความสำคัญต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจอยู่เสมอโดยรัฐบาลทั้งสองประเทศได้ชี้นำส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้พัฒนาขึ้นสู่ขั้นสูงใหม่และมุ่งสู่ความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ จากการปฏิบัติตามการชี้นำนี้ ทั้งสองประเทศได้ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการลงทุน การค้าและ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างนักธุรกิจของทั้งสองประเทศ
|
นายกรัฐมนตรีเวียดนามNguyễn Tấn DũngและเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียMayerfas (Photo:Internet) |
ในหลายปีที่ผ่านมา ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอินโดนีเซียกับเวียดนามได้รับการปรับปรุงอยู่เสมอ เวียดนามมีตลาดขนาดใหญ่โดยมีประชากรกว่า๘๗ล้านคน มีความต้องการบริโภคสินค้าในระดับสูง มีความใกล้ชิดกันทางภูมิศาสตร์ ส่วนอินโดนีเซียมีความต้องการสูงด้านข้าว เหล็กกล้า และสินค้าสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากเวียดนาม รัฐบาลเวียดนามได้ดำเนินหลายมาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในเวียดนาม รวมทั้งนักลงทุนอินโดนีเซีย นี่เป็นการยืนยันของนายPhạm Quang Thịnh รองหัวหน้าฝ่ายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนามหรือ VCCI ในฟอรั่มการค้าและการลงทุนอินโดนีเซีย เวียดนาม ณ กรุงฮานอย เมื่อต้นเดือนเมษายนนี้ ส่วนท่านMayerfas เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำเวียดนามเผยว่า ใน๒ปีที่ผ่านมา นักธุรกิจอินโดนีเซียจำนวนมากได้ศึกษาหาโอกาสและได้ลงนามข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือกับนักธุรกิจเวียดนามเป็นจำนวนมาก“เมื่อเร็วๆนี้ เครือบริษัทปูน ซีเมนต์Gresik ซึ่งเป็นเครือบริษัทภาครัฐแห่งแรกได้ลงนามในข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือกับบริษัทปูน ซีเมนต์Thăng Longของเวียดนาม ผมยืนยันว่า เวียดนามเป็นสถานที่ลงทุนแห่งแรกของสถานประกอบการภาครัฐของอินโดนีเซีย” นายJohan Samudra ตัวแทนเครือบริษัทปูน ซีเมนต์Gresik ในเวียดนามและผู้อำนวยการบริหารบริษัทหุ้นส่วนปูน ซีเมนห์Thăng Longเวียดนามเผยว่า เมื่อปลายปี๒๐๑๒ เครือบริษัทปูน ซีเมนต์Gresik ได้ซื้อหุ้นร้อยละ๗๐ของบริษัทหุ้นส่วนปูน ซีเมนต์Thăng Long ซึ่งก็เป็นยุทธศาสตร์พัฒนาของเครือบริษัทปูน ซีเมนต์Gresik “เวียดนามมีแหล่งเชื้อเพลิงที่อุดมสมบูรณ์ มีคุณภาพ ได้มาตรฐานระดับชาติและนานาชาติ ปัจจุบัน หน่วยงานอุตสาหกรรมปูซีเมนต์เวียดนามได้ย่างเข้าสู่ระยะพัฒนาเติบโตเกินความต้องการโดยปริมาณการผลิตอยู่ที่๗๐ล้านตัน ส่วนความต้องการอยู่ที่๔๕ล้านตันเท่านั้น ในขณะเดียวกัน ควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจ ความต้องการปูซีเมนต์ของอินโดนีเซียนับวันยิ่งเพิ่มขึ้น ผมหวังว่า ความร่วมมือนี้จะตอบสนองความต้องการด้านปูนซีเมนต์ของอินโดนีเซีย”
|
ฟอรั่มการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวเวียดนาม อินโดนีเซีย (Photo:Internet) |
ปัจจุบัน มีสถานประกอบการอินโดนีเซีย๓๕แห่งกำลังประกอบธุรกิจในเวียดนาม สิ่งที่น่าสนใจคือ ใน๙เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี๒๐๑๒มาจนถึงปัจจุบัน จำนวนนักธุรกิจอินโดนีเซียที่เข้ามาประกอบธุรกิจในเวียดนามเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ๔๐ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความน่าสนใจของตลาดเวียดนามต่อบรรดาหุ้นส่วนอินโดนีเซีย ในด้านการลงทุน อินโดนีเซียอยู่อันดับ๒๗ในจำนวน๑๐๑ประเทศและดินแดนที่ลงทุนในเวียดนามโดยมีโครงการปฏิบัติ๓๔โครงการ รวมยอดเงินทุนจดทะเบียนกว่า๒๘๕ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งด้านอุตสาหกรรมแปรรูปและการผลิตอยู่อันดับ๑โดยมี๑๖โครงการ รวมยอดเงินทุนจดทะเบียนกว่า๑๑๒ล้านเหรียญสหรัฐ นายMayerfas เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำเวียดนามกล่าวว่า เวียดนามเป็นสถานที่ลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย ส่วนเวียดนามมีโครงการลงทุนในอินโดนีเซีย๗โครงการ รวมยอดเงินทุนกว่า๑๐๖ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในโครงการทำเหมือง ปีโตรเลี่ยม และการสื่อสารประชาสัมพันธ์ของเครือบริษัทปีโตรเลี่ยมแห่งชาติเวียดนาม และเครือบริษัทสื่อสารประชาสัมพันธ์VTC รัฐบาลอินโดนีเซียอำนวยความสะดวกเพื่อให้นักธุรกิจเวียดนามลงทุนในอินโดนีเซีย นี่เป็นการยืนยันของนายAchmand Kurniadiรองประธานคณะกรรมการความร่วมมือลงทุนอินโดนีเซียนอกรอบฟอรั่มการค้าและการลงทุนอินโดนีเซีย เวียดนาม“ รัฐบาลอินโดนีเซียจะมีนโยบายให้สิทธิพิเศษแก่บรรดานักธุรกิจที่ลงทุนในอินโดนีเซียด้วยจำนวนกรรมกรและเงินทุนมาก อาทิเช่น สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน พวกเรายกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร และวัตถุดิบเป็นเวลา๒ปี ถ้าหากนักธุรกิจเวียดนามลงทุนก่อสร้างโรงงานที่Papua และMakassarพวกเราจะเสนอให้รัฐบาลลดภาษีให้” นายAchmand Kurniadi เผยต่อไปว่า รัฐบาลอินโดนีเซียจะช่วยเหลือในการเชื่อมโยงระหว่างนักธุรกิจเวียดนามกับอินโดนีเซีย ประชาสัมพันธ์ศักยภาพ ความได้เปรียบ โอกาสพัฒนาและตรวจสอบข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานประกอบการ คุณภาพผลิตภัณฑ์เพื่อให้นักธุรกิจเวียดนามมีความมั่นใจในการประกอบธุรกิจในอินโดนีเซีย จากความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกของรัฐบาลทั้งสองประเทศ นักธุรกิจทั้งสองฝ่ายจะมีโอกาสขยายกิจกรรมการค้าในตลาดของกัน มีส่วนร่วมส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศให้พัฒนายิ่งขึ้นสมกับศักยภาพของแต่ละประเทศ ./.