การแนะนำกระดาษสาให้แก่นักท่องเที่ยว |
ในสมัยก่อน กระดาษสา แก๋เบื๋อย ใช้ในการเขียนหนังสือ เขียนบทกวี และเขียนอักษรวิจิตร รวมถึงการใช้พิมพ์ภาพวาดพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงอย่างเช่น โดงโห่ ห่างโจ๊ง และ กิมหว่าง ซึ่งถือเป็น “สมบัติ” ในการอนุรักษ์วัฒนธรรมเนื่องจากมีความทนทานสูง พร้อมไม่เกิดปัญหาจากเชื้อราและปลวก แต่ด้วยกระแสการพัฒนาเชิงอุตสาหกรรม ทำให้กระดาษสาและวิธีการทำกระดาษสาไม่ได้รับความนิยมเหมือนช่วงก่อน ๆ
“เพื่อนคนหนึ่งของฉันเป็นชาวเยอรมันเชื้อสายเวียดนาม บังเอิญเขาได้เห็นคุณครูกำลังสอนเด็ก ๆ เขียนหนังสือในวัดแห่งหนึ่งริมทะเลสาบทางตะวันตกของกรุงฮานอย เลยอยากช่วยนำศิลปะการประดิษฐ์อักษรวิจิตรของเวียดนามไปทั่วโลก พร้อมช่วยให้คุณครูสามารถหาเลี้ยงชีพจากอาชีพนั้นได้ ฉันจึงตัดสินใจช่วยเขาทำโปรเจคนี้ ซึ่งตั้งแต่ได้เดินตามเส้นทางไปศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการเขียนอักษรวิจิตร ทำให้ฉันได้รู้จักกระดาษสา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นช่างฝีมือทำกระดาษสาแบบสำเร็จรูป ทำให้ฉันรู้สึกเสียดายมาก ๆ ถ้าอาชีพหัตถกรรมทำกระดาษสานี้หายไป”
การลองทำกระดาษสา |
นี่ถือเป็นโชคชะตาลิขิตให้นาง เจิ่นโห่งยุง ได้เรียนรู้อาชีพทำกระดาษสาดั้งเดิมกับการจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคม Zó Project ด้วยวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาอีพการผลิตศิลปะหัตถกรรมกระดาษสาแบบดั้งเดิม พร้อมสร้างงานเลี้ยงชีพให้กับกลุ่มช่างฝีมือ
“พวกเราอยากอนุรักษ์อาชีพทำกระดาษสาของเวียดนาม เนื่องจากกระดาษสาที่ดูสวยงามอย่างมากนั้นกำลังถูกหลงลืมไป เมื่อพวกเรานึกถึงเรื่องการอนุรักษ์ ก็ต้องคิดค้นวิธีการใหม่ ๆ ซึ่งวิธีที่ฉันนึกขึ้นมาได้คือ ตัวเองต้องสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ชีวิตสมัยใหม่ ด้วยวัสดุแบบดั้งเดิม เพื่อให้อาชีพนี้สามารถฟื้นคืนมาได้”
ปัจจุบัน การใช้กระดาษสาไม่เพียงแค่อยู่ในการวาดภาพหรือเขียนอักษรวิจิตรเท่านั้น แต่สำหรับ Zó Project ยังได้นำเข้าไปประยุกต์ในชีวิตสมัยใหม่ผ่านผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีประโยชน์ เช่น ต่างหูที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ การ์ดเชิญที่ปราณีต โคมไฟแสนอบอุ่น ไปจนถึงดอกไม้ตกแต่งเชิงศิลปะ ซึ่งทั้งดูสวยงามและแสดงออกถึงเอกลักษณ์ประจำชาติอย่างชัดเจน
นักท่องเที่ยวต่างชาติลองทำกระดาษสา |
ฝ่ามแทงจ่า นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปกรรมอุตสาหกรรมฮานอย ซึ่งเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่หลงรักวัฒนธรรมดั้งเดิมและมีความหลงไหลกับกระดาษสาเป็นพิเศษ เผยว่า
“ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของ Zó Project ทำให้รู้สึกหวนคิดถึงความเก่าแก่ แต่ยังมีความคุ้นเคย โดยรวมแล้วดูสวยงามมาก ๆ กับพื้นที่จัดแสดงพร้อมชุดอุปกรณ์การทำกระดาษสา”
จากความร่วมมือระหว่างทางการปกครองท้องถิ่นกับวิสาหกิจเพื่อสังคม Zó Project ทำให้หมู่บ้านหัตถกรรมกระดาษสาเอียนท้ายได้ฟื้นตัวกลับมาที่จุดให้บริการ - การท่องเที่ยวและวัฒนธรรมหมายเลข 189 ณ ถนนจิ๊กส่าย หรือได้รู้จักเป็นพิพิธภัณฑ์กระดาษสา ซึ่งมีการจัดแสดงและนำเสนอขั้นตอนการทำกระดาษสาแบบดั้งเดิม ตั้งแต่แหล่งกำเนิดของต้นย๊อ กระบวนการคัดเลือกเปลือก การตำ การต้มกาวจากต้นย๊อ ไปจนถึงการผสม การกด และการอบแห้ง
พิพิธภัณฑ์กระดาษสายังนำประสบการณ์ต่างๆ ที่น่าสนใจให้กับผู้มาเยี่ยมชม เช่น การตำย๊อ การบด การผสมเป็นกระดาษ และการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จากกระดาษย๊อด้วยมือภายใต้การแนะนำของกลุ่มสมาชิก Zó Project นาย Hudson นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียที่เดินทางมาเที่ยวเวียดนามหลายครั้งเพื่อค้นคว้าวัฒนธรรมดั้งเดิมของเมืองหลวงฮานอย ได้เลือกสัมผัสประสบการณ์การทำกระดาษสาที่จุดให้บริการ - การท่องเที่ยวและวัฒนธรรมหมายเลข 189 ณ ถนนจิ๊กส่าย แสดงความรู้สึกว่า
“กระดาษสาของเวียดนามได้ดึงดูดใจผมเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ที่ได้มาที่นี่ ผมได้ร่วมกระบวนการทำกระดาษสา ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจมาก กระดาษสาบาง เบา และดูสวยงาม ผมได้ทำสมุดโน้ตจากกระดาษสานร่วมกับกลุ่มวัยรุ่น เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะจริง ๆ ผมจะนำกลับไปฝากเพื่อน ๆ และญาติพี่น้องเป็นของที่ระลึก”
การเขียนอักษรบนกระดาษสา |
ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ทำจากกระดาษสาได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางผ่านเวิร์คช็อป นิทรรศการ และแพลตฟอร์มการจำหน่ายทางออนไลน์ของ Zó Project ซึ่งจนถึงปัจจุบัน ได้มีการส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่นและกำลังจะจำหน่ายที่ตลาดสหรัฐอเมริกาในเร็ว ๆ นี้ นาง เจิ่นโห่งยุง เผยว่า
“พวกเราได้จับมือกับบรรดาศิลปิน รวมถึงกลุ่มนักออกแบบทั้งในและต่างประเทศ ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับกระดาษสา จากนั้น พวกเราสามารถประชาสัมพันธ์อาชีพทำกระดาษสาให้ดังไกลไปทั่วโลก โดยมุ่งมั่นในการศึกษาค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษสาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กลุ่มช่างฝีมือหรือผู้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จากกระดาษสาทุกคนสามารถสร้างรายได้จากอาชีพของตนเองได้”
ทั้งนี้ การที่อาชีพทำกระดาษสาเอียนท้ายกำลังฟื้นตัวนั้นไม่เพียงแค่เป็นการส่งเสริมคุณค่าของงานหัตถกรรมพื้นบ้านของเมืองหลวงโบราณเท่านั้น แต่ยังช่วยอนุรักษ์เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของคนรุ่นก่อนอีกด้วย.