นี่คือข้อสังเกตของสำนักข่าวและผู้บริหารสมาคมสถานประกอบการเยอรมนีหลังจากที่สภาแห่งชาติเวียดนามอนุมัติการให้สัตยาบันข้อตกลงฉบับนี้เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน
สำนักข่าว DPA ของเยอรมีได้เผยว่า หลังจากที่ข้อตกลงนี้มีผลบังคับใช้ในต้นเดือนสิงหาคมนี้ มูลค่าการส่งออกของเวียดนามไปยังตลาดอียูในปี 2030 จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 44
ส่วนเว็บไซต์ DW ได้เผยว่า ข้อตกลงการค้าที่ทำกับเวียดนามเป็นข้อตกลงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นระหว่างอียูกับประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งช่วยเวียดนามพัฒนาเศรษฐกิจในสภาวการณ์ที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ในปัจจุบัน
ส่วนเว็บไซต์ Finanznachrichten ได้อ้างคำกล่าวของนาย Ines Kitzing รองนายกสมาคมการค้าต่างประเทศและการบริการเยอรมนีว่า ข้อตกลงดังกล่าวไม่เพียงแต่สร้างพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจเท่านั้นหากยังเป็นคำตอบที่ชัดเจนต่อลัทธิคุ้มครองการค้าอีกด้วย
นาย Manfred Junkert ผู้อำนวยการสมาคมรองเท้าเยอรมนีได้ประเมินว่า การให้สัตยาบันข้อตกลง EVFTA เป็นสัญญาณที่ดีต่อการค้าเสรีและต่อต้านลัทธิคุ้มครองทางการค้า
ส่วนหนังสือพิมพ์ Nikkei Asia Review ของญี่ปุ่นได้ประเมินว่า การให้สัตยาบันข้อตกลง EVFTA จะช่วยให้เวียดนามกลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่สำหรับบรรดาสถานประกอบการ โดยวิเคราะห์ว่า หลังจากที่มีผลบังคับใช้ในต้นเดือนสิงหาคมปี 2020 ข้อตกลง EVFTA จะช่วยให้เวียดนามกลายเป็นประเทศที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ลงนามข้อตกลงดังกล่าวกับอียู ซึ่งแน่นอนว่า อียูจะกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่มากขึ้นของเวียดนาม โดยเฉพาะ อัตราการขยายตัวของหน่วยงานสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปและรองเท้าจะเพิ่มสูงขึ้น
การให้สัตยาบันข้อตกลง EVFTA ยังเป็นข่าวดีสำหรับเครือบริษัทข้ามชาตินอกอียู เช่น สถานประกอบการของญี่ปุ่นที่มีฐานการผลิตสินค้าต่างๆในเวียดนามไม่ว่าจะเป็นสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ชิ้นส่วนรถยนต์และเครื่องจักรกลสามารถทำการผลิตในเวียดนามแล้วส่งออกไปยังยุโรปได้ สำหรับอียู ข้อตกลง EVFTA จะช่วยให้อียูเข้าถึงตลาดที่มีศักยภาพต่างๆ .