คำถามมินิเกมประจำเดือนเมษายน
สวัสดีครับ ผมชื่อ แสตมป์ (Hoàng Dương) ตอนนี้ผมกำลังเรียนภาษาเวียดนามอยู่ที่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ช่วงเดือนกรกฎาคม ปี 2018 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเรียนภาคฤดูร้อนที่ มหาวิทยาลัยฮานอย(Đại học Hà Nội) เป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งโอกาสนั้นก็ได้ไปท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ ส่วนใหญ่ผมชอบไปเที่ยวสถานที่ทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมของเวียดนามครับ และการเดินทางแต่ละครั้งผมก็ชอบที่จะใช้บริการรถเมล์ ซึ่งผมประทับใจมากทั้งราคาถูกและบริการดี ผู้คนที่พบเจอระหว่างท่องเที่ยวก็จิตใจดีช่วยอธิบายสิ่งต่างๆที่เราไม่รู้ให้เรารู้ละเอียดยิ่งขึ้น และถ้าเขารู้ว่าเราเป็นคนไทยเขาก็มักจะพูดว่า “Thế ả, chúng em nói tiếng Việt giỏi quá” ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมชอบมีดังต่อไปนี้
สถานที่แห่งแรกเลยก็คือป้อมปราการแห่งทังลอง (Hoàng thành Thăng Long) สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของกรุงฮานอย
ประตูด้านหน้าของป้อมปราการแห่งนี้ |
ภายในมีการจัดแสดงศิลปวัตถุต่างๆมากมายตั้งแต่สมัยราชวงศ์ลี้(Nhà Lý) จนกระทั่งถึงยุคการปลดปล่อยเวียดนาม(1945)
|
ความประทับใจของผมคือ สถานที่แห่งนี้ได้รวบรวมเรื่องราว สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆที่ขุดพบในบริเวณนี้ มีตั้งแต่สมัยราชวงศ์ลี้จนถึงยุคการปลดปล่อยชาติเวียดนาม ทำให้ผมได้เห็นวิวัฒนาการด้านต่างๆของชาวเวียดนาม และที่แห่งนี้ยังถือเป็นเมืองหลวงแห่งแรกๆของเวียดนามหลังจากหลุดพ้นจากการปกครองของจีนอีกด้วย และเมื่อปี 2010 สถานที่แห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม และในปีเดียวกันยังมีการจัดงานเฉลิมฉลองเมืองทังลองครบรอบ 1000 ปีอีกด้วย จึงอยากจะขอเชิญชวนเพื่อนๆ ถ้าหากมีโอกาสก็ควรไปเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้สักครั้ง
ข้ามถนนมมาจากป้อมปราการเมืองทังลองก็จะได้พบกับสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งคือ
จัตุรัสบาดิ่ญ (Quảng Trường Ba Đình) ซึ่งสถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของเวียดนามยุคสมัยใหม่
บริเวณจัตุรัสบาดิ่ญจะมีสุสานประธานโฮจิมินห์(Lăng Chủ tịch Hồ Chí Minh) ซึ่งตั้งอยู่จุดเดียวกับแท่นเวทีที่ท่านประกาศเอกราชของประเทศเวียดนามจากฝรั่งเศสในปี 1945
|
ภายในบริเวณของจัตุรัสบาดิ่ญ จะมีสถานที่น่าสนใจอีกหลายๆแห่งเช่น วัดเสาเดียว(Chùa Một Cột) พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์(Bảo tàng Hồ Chí Minh) และทำเนียบประธานาธิบดี(Văn phòng Chủ tịch nước)
-ความประทับใจของผมคือ สถานที่แห่งนี้ได้รวบรวมและบอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับประเทศเวียดนามในช่วงการปลดปล่อยประเทศ ความยากลำบากของผู้คนในยุคสมัยนั้น ความสามัคคีของผู้คนในชาติที่ร่วมกันต่อสู้เพื่อปลดแอกชาติประเทศของตนเองจากการอาณานิคม ได้รับรู้เรื่องราวความพยายามของท่านโฮจิมินห์โดยการเดินทางไปเกือบทั่วทุกมุมโลกเพื่อค้นหาวิธีช่วยเหลือพี่น้องร่วมชาติ แต่น่าเสียดายที่ตอนผมไปทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่า สุสานกำลังปิดปรับปรุงผมจึงไม่ได้ไปเคารพศพของท่าน
และสถานที่สุดท้ายคือ พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยา (Bảo tàng dân tộc học Việt Nam)
ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีการจัดแสดงวิถีชีวิตของชนเผ่าทั้ง 54 ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ร่วมกันบนแผ่นดินเวียดนามแห่งนี้
|
นอกจากการจัดแสดงภายในอาคารแล้ว ภายนอกอาคารก็ยังมีการจำลองบ้านเรือนและข้าวของเครื่องใช้ ของแต่ละชนเผ่าในประเทศเวียดนามให้เราได้รับชมอีกด้วย
|
-ความประทับใจของผมต่อสถานที่แห่งนี้คือ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงได้ยอดเยี่ยมไม่น่าเบื่อเหมือนพิพิธภัณฑ์ทั่วๆไป ที่แห่งนี้เหมือนเป็นการรวมทั้งประเทศเวียดนามมาไว้ที่นี่เพียงสถานที่แห่งเดียว บรรยากาศของส่วนจัดแสดงภายนอกอาคารก็ร่มรื่นมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา และนักท่องเที่ยวยังสามารถเดินชมบ้านจำลองของชนเผ่าต่างๆ เสมือนเป็นการสำรวจขนาดย่อมๆ ข้อมูลที่ให้ไว้ละเอียดครบถ้วน และที่ถูกใจผมเป็นพิเศษคือข้อมูล วิถีชีวิต บ้านเรือน ของชนเผ่าไต-ไท ซึ่งคนกลุ่มนี้คือบรรพชนของคนไทยในปัจจุบัน ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้พบกับญาติที่จากกันมานาน ผมจึงอยากเชิญชวนให้คนไทยที่ถ้าหากท่านมีโอกาสไปเที่ยวฮานอย อย่าลืมไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วย
ส่วนเรื่องอาหารที่ผมอยากจะแนะนำก็คือ
Bún chả
|
-อาหารจานนี้เป็นอาหารมื้อแรกในเวียดนามของผมเพราะอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยท่านพาไปรับประทาน โดยทั้งวิธีรับประทานและรสชาติเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับผม แต่พอได้กินคำต่อมาก็รู้สึกถึงความกลมกล่อมของน้ำซุป และความเข้ากันเมื่อกินกับเส้นขนมจีนและผัก หลักจากวันนั้นถ้ามีโอกาสผมและเพื่อนก็จะไปกินอาหารจานนี้กันอีกบ่อยๆ แต่พอกลับมาเมืองไทยก็นึกอยากที่จะลิ้มรส รสชาตินั้นอีกครั้งแต่ที่เมืองไทยไม่ค่อยมีอาหารชนิดนี้ขาย ความประทับใจของผมต่ออาหารจานนี้ก็คือเปรียบเสมือนเป็นการกล่าวต้อนรับจากชาวเวียดนามให้กับคนที่มาจากต่างที่ต่างถิ่นอย่างพวกเรา
และอีกเมนูหนึ่งก็คือ
-อาหารจานนี้ถูกแนะนำโดยเพื่อนร่วมชั้นเรียนชาวญี่ปุ่นของพวกผม ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าอาหารชนิดนี้คืออะไรพอแม่ค้ายกมาเสิร์ฟเราถึงเข้าใจ และข้อสำคัญของอาหารชนิดนี้อีกอย่างหนึ่งคือต้องจิ้มกับกะปิของเวียดนาม ซึ่งไม่เหมือนกะปิของไทย จะมีกลิ่นและรสชาติที่จัดกว่า แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าอร่อยถ้าหากใครไม่รับประทานกะปิก็สามารถจิ้มกับน้ำปลาแทนได้ และอาหารจานนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่สร้างความประทับใจให้แก่ผม ทั้งเรื่องมิตรภาพของคนต่างชาติต่างภาษากันแต่สามารถสื่อสารกันเข้าใจด้วยภาษาเวียดนาม และความประทับใจอีกอย่างหนึ่งคือ รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องปรุงและอาหารชนิดนี้ ประสบการณ์ในการเดินทางครั้งนี้จะคงอยู่ในใจผมตลอดไป.