สถานประกอบการภาคเอกชนมีส่วนร่วมกว่าร้อยละ 40 ของจีดีพี ซึ่งเพิ่มขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2010 มีบทบาทและส่วนร่วมมากที่สุดในยอดเงินลงทุนและการทำรายได้เข้างบประมาณแผ่นดิน ตลอดจนสร้างงานทำและมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาทางสังคมต่างๆ ดังนั้น ที่ประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามสมัยที่ 12 ก็ยืนยันถึงการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงตลาดตามแนวทางสังคมนิยมที่เศรษฐกิจภาคเอกชนคือพลังขับเคลื่อนให้แก่การพัฒนาเศรษฐกิจ อีกทั้งคํ้าประกันการพัฒนาเศรษฐกิจทุกภาคส่วนอย่างเสมอภาค ตลอดจนร่วมมือและแข่งขันกันภายใต้กรอบของกฎหมาย รองศาสตราจารย์ ดร. ดว่านมิงฮ้วน รองบรรณาธิการนิตยสารคอมมิวนิสต์ได้เผยว่า“ที่ประชุมสมัชชาพรรคสมัยที่ 12 ได้กำหนดแนวทางเพื่อผลักดันเศรษฐกิจภาคเอกชนพัฒนา เช่น คํ้าประกันการพัฒนาเศรษฐกิจทุกภาคส่วนอย่างเสมอภาคเพื่อให้เศรษฐกิจภาคเอกชนสามารถเข้าถึงแหล่งพลังต่างๆ เช่น ที่ดิน การปล่อยสินเชื่อและใช้ประโยชน์จากการลงทุนสาธารณะ นอกจากนี้ ยังมีนโยบายเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนที่เอื้อให้แก่การพัฒนาของเศรษฐกิจภาคเอกชน”

แต่อย่างไรก็ดี สถานประกอบการภาคเอกชนในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นสถานประกอบการขนาดย่อมและขาดความเชื่อมโยงในการรับมือกับปัญหาต่างๆจนส่งผลให้สถานประกอบการหลายแห่งต้องหยุดการประกอบธุรกิจ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาต่างๆในการปฏิบัติสิทธิเสรีภาพการประกอบธุรกิจ บรรยากาศการลงทุนประกอบธุรกิจและขีดความสามารถในการแข่งขัน นาย เจิ่นดึ๊กจุง รองหัวหน้าสถาบันบริหารเศรษฐกิจส่วนกลางได้เผยว่า“เพื่อให้เศรษฐกิจภาคเอกชนเป็นพลังขับเคลื่อนให้แก่การพัฒนา ต้องปรับปรุงกลไกต่างๆเพื่อสนับสนุนการขยายตัวด้านเศรษฐกิจ เพิ่มความโปร่งใสและเปลี่ยนแปลงใหม่การบริหารภาครัฐเพื่อสร้างเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค อีกทั้งตรวจสอบและแก้ไขปัญหาต่างๆเพื่อยกระดับประสิทธิภาพของการลงทุน ตลอดจนทำการปฏิรูปสถานประกอบการและปรับปรุงระบบกฎหมายต่อไป”

เพื่อส่งเสริมบทบาทที่เป็นพลังขับเคลื่อนของเศรษฐกิจภาคเอกชนในการพัฒนาเศรษฐกิจ รัฐบาลเวียดนามได้ปฏิบัติมาตรการต่างๆอย่างรอบด้านและพร้อมเพรียง ส่วนสถานประกอบการต้องเน้นลงทุนในด้านที่เป็นจุดแข็งและยกระดับทักษะการบริหารสถานประกอบการ นาง ฝ่ามถิทูหั่ง เลขาธิการหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนาม หรือ วีซีซีไอได้เผยว่า“วีซีซีไอกำลังรวบรวมปัญหาต่างๆของสถานประกอบการเพื่อยื่นเสนอต่อรัฐบาล พร้อมทั้งเผยแพร่มติของรัฐบาลเกี่ยวกับการสนับสนุนการพัฒนาสถานประกอบการจนถึงปี 2020 และจัดทำแผนการปฏิบัติมาตรการสนับสนุนสถานประกอบการภาคเอกชน รวมถึงสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อเพิ่มแหล่งพลังที่ใช้สนับสนุนให้หลากหลายมากขึ้น”

รัฐธรรมนูญปี 2013 ของเวียดนามถือสถานประกอบการที่มีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ เอฟดีไอเป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยในการกล่าวปราศรัยในฟอรั่มสถานประกอบการเวียดนามเมื่อเร็วๆนี้ นาย เหงวียนซวนฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ยืนยันว่า เวียดนามจะปรับปรุงระเบียบการต่างๆให้สอดคล้องกับกลไกตลาด อีกทั้งทำการปฏิรูประเบียบราชการ รวมถึงนโยบายและกฎหมายเพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุนประกอบธุรกิจที่สะดวก ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและอำนวยความสะดวกให้เศรษฐกิจภาคเอกชนพัฒนา โดยเฉพาะการกระชับความร่วมมือระหว่างเศรษฐกิจภาคเอกชนในประเทศกับเศรษฐกิจที่ใช้เงิน เอฟดีไอ

“สำหรับสถานประกอบการเอฟดีไอ รัฐบาลหวังว่า จะมีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการปฏิรูปในด้านต่างๆและขยายการลงทุนในเวียดนามต่อไป อีกทั้งผลักดันการถ่ายทอดเทคโนโลยี ฝึกอบรมแหล่งบุคลากร ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการบริหาร มีความรับผิดชอบต่อสังคม ร่วมมือกับเวียดนามเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของเวียดนาม”

ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมระยะปี 2016 – 2020 ของเวียดนามระบุว่า รัฐบาลเวียดนามจะอำนวยความสะดวกเพื่อพัฒนาสถานประกอบการอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะสถานประกอบการภาคเอกชนเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนให้แก่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาเศรษฐกิจที่พึ่งพาตนเอง  รัฐบาลเวียดนามจะพยายามมากขึ้นเพื่อเชื่อมโยงสถานประกอบการทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและผสมผสานเข้ากับกระแสเศรษฐกิจโลกอย่างเข้มแข็ง.