บทสัมภาษณ์ท่านเอกอัครราชทูตไทยประจำเวียดนาม วันที่ 8 สิงหาคมปี 2017

Kim Ngan - VOV5
Chia sẻ
(VOVWORLD) -เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปีการจัดตั้งกลุ่มอาเซียน 8 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวภาคภาษาไทยสถานีวิทยุเวียดนามได้สัมภาษณ์ท่านมานพชัย วงศ์ภักดี เอกอัครราชทูตไทยประจำเวียดนามเกี่ยวกับบทบาทของอาเซียนในการขยายความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ  
บทสัมภาษณ์ท่านเอกอัครราชทูตไทยประจำเวียดนาม วันที่ 8 สิงหาคมปี 2017 - ảnh 1 ท่านมานพชัย วงศ์ภักดี เอกอัครราชทูตไทยประจำเวียดนาม (Photo สถานทูตไทย ณ กรุงฮานอย)

ซึ่งท่านทูตได้ย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของอาเซียนต่อการขยายความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศว่า “ในเรื่องของความสัมพันธ์ทวิภาคีกับความเป็นอาเซียนมีความเกี่ยวพันธ์เป็นอย่างมาก การที่เวียดนามเข้าเป็นสมาชิกของอาเซียนตั้งแต่ปี 1995 เป็นจุดที่ก่อให้เกิด เป็นพัฒนาการสำคัญของภูมิภาคเพราะว่าทำให้จำนวนประเทศสมาชิกอาเซียนในภูมิภาคนี้เพิ่มมากขึ้น แล้วก็เป็นผลส่งให้ต่อมาประเทศอื่นๆเข้ามาเป็นสมาชิกครบ ประเทศล่าสุดที่เข้าคือประเทศเมียนมาร์ ทำให้อาเซียนทั้งหมดมี 10 ประเทศในขณะนี้ แล้วก็ที่ผมถ้าพูดว่าทำไมถึงทำให้มีผลดีต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีของเรา เพราะว่าในระบบความสัมพันธ์ของอาเซียน สิ่งหนึ่งที่ก่อให้เกิดการไปมาหาสู่และการติดต่อ การประชุมร่วมกันมีในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นในระดับของผู้นำ ซึ่งจะมีประเทศต่างๆนอกรอบภูมิภาคเข้ามาด้วย ก็คือ สหรัฐ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อียู อินเดีย จีน ญี่ปุ่น ... นอกจากนั้น การที่เข้าเป็นสมาชิกของอาเซียน ทั้งไทยและเวียดนามยกเว้นวีซ่าการตรวจลงตราให้กับประชาชนของตนเอง เพราะฉะนั้นโอกาสของการไปมาหาสู่กันมันเพิ่มทวีขึ้นอย่างมากมาย ถ้าจะให้ผมชี้เราจะเห็นได้ว่า สิ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีของไทยและเวียดนามพัฒนารวดเร็วล่วงหน้าขึ้นยิ่งไปอีก นอกเหนือจากกลไกความร่วมมือด้านทวิภาคีที่เรามีอยู่แล้ว แล้วก็ครอบคลุมทุกด้านทุกสาขาเหมือนกัน”

ในประเด็นที่ว่า ไทยเป็นหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนามในอาเซียน การเข้าเป็นสมาชิกของอาเซียนได้มีส่วนสำคัญในการช่วยให้มูลค่าการค้าต่างตอบแทนเพิ่มขึ้น ท่านทูตได้ประเมินว่า

“มูลค่าการค้าของประเทศอาเซียนด้วยกันในปีที่ผ่านมามีมูลค่าถึงมากกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งน่าจะเป็นมูลค่าอย่างมหาศาล ซึ่งในขณะเดียวกัน การค้าของไทย-เวียดนามในปี 2016 มีมูลค่า 1 หมื่น 3 พัน 8 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถ้าเทียบกับมูลค่าการค้าภายในอาเซียนทั้งหมดถือว่ายังเล็กอยู่ ถ้าเรามองถึงว่า อะไรที่เป็นปัจจัยทำให้การค้าของอาเซียนหรือการค้าของไทย – เวียดนามเพิ่มมากขึ้น ผมว่าประเด็นที่สำคัญก็คือการที่เรามีการลดภาษีหรือว่ายกเลิกภาษีนำเข้าในสินค้าระหว่างกันภายใต้ความตกลงของอาเซียน อันนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญ แล้วคิดว่า ในส่วนของระยะยาว การที่ประเทศในภูมิภาคเราทำการค้าขาย ทำการลงทุนกันเองจะเป็นผลดีกับภูมิภาคมากกว่าที่เราจะทำการค้ากับประเทศที่ห่างไกล ถ้าเรามีสินค้าที่ใกล้เคียงที่เป็นสิ่งที่ต้องการซึ่งกันและกัน ความใกล้เคียงในภูมิศาสตร์ย่อมเป็นปัจจัยที่ทำให้พวกเรากันเองสามารถค้าขายกันได้ ตัวเลขการค้าในอนาคตมันจะต้องทวีมากขึ้นกว่านี้แน่นอน และคำว่า อาเซียนนี้ก็เราพูดเป็นในระดับโลกแล้ว เป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับมากกว่า แล้วคำว่าอาเซียนจะมีคุณค่าในเรื่องของการค้าการลงทุนมากขึ้นอีกในอนาคต การที่ประเทศต่างๆ ไม่ใช่เป็นเกาหลี ญี่ปุ่นหรือว่าทางกลุ่มยุโรปที่มาลงทุนในไทย ในเวียดนาม ในมาเลเซียหรือในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ การลงทุนของเขา เขาไม่มองว่า เป็นลงทุนเพื่อประเทศนั้นๆ แต่เป็นการลงทุนที่จะให้สินค้าและบริการของเขาสามารถจะจ่ายในทั้งภูมิภาคอาเซียน ผมคิดว่า ทุกประเทศจะได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”

สำหรับคำถามเกี่ยวกับทัศนะของสองประเทศเวียดนาม – ไทยในปัญหาทั้งภายในและนอกกลุ่ม ท่านทูตไทยได้ให้ข้อสังเกตุว่า

“ไทยและเวียดนามเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ชิดกันมาก ภูมิอากาศก็คล้ายคลึงกันมาก และผลผลิตด้านเกษตรก็เหมือนกัน เราก็เป็นประเทศที่บริโภคข้าว แล้วก็เป็นประเทศกำลังพัฒนาทั้งคู่ เพราะฉะนั้น จุดสนใจของทั้งไทยและเวียดนาม ผมคิดว่าเรามีเป้าหมายร่วมกันในทุกๆด้านเลย ไม่ว่าจะเป็นด้านของการเมือง ความมั่นคง เราก็ประสงค์ให้ภูมิภาคอาเซียนของเราเป็นภูมิภาคที่มีความมั่นคง มีเสถียรภาพทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ไม่มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐหรือปัญหาอื่นๆ นอกจากนั้น เรายังอยากจะเห็นที่ภูมิภาคของเราเจริญเติบโตและสามารถสร้างเอกลักษณ์ของภูมิภาคอาเซียนขึ้นมาได้ ประเทศทั้งสองยังมีความต้องการที่จะรับการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทั้งไทยและเวียดนามสามารถที่จะร่วมมือกันได้ ในหลายๆด้าน และการที่เราทำงานร่วมกันกับอาเซียนอื่นๆอีก 8 ประเทศทำให้อำนาจต่อรองของเรามีเพิ่มมากขึ้น มากกว่าที่ประเทศเรา ประเทศใดประเทศหนึ่งประเทศเดียวจะไปเจรจากับประเทศเหล่านี้ เพราะว่าอย่างปัจจุบัน จะมีเรื่องความตกลงของอาเซียน – อียู อาเซียนเอฟทีเอ หรือกับประเทศอื่นๆที่จะมีขึ้นตามก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่เราควรจับตามอง”

เมื่อตอบคำถามเกี่ยวกับการที่เวียดนามและไทยเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ได้ช่วยยกระดับบทบาทของสองประเทศในอาเซียนและบนเวทีระดับภูมิภาคและโลกเป็นอย่างไร ท่านเอกอัครราชทูตไทยได้ยืนยันว่า

“การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ยังกำหนดให้มีการหารือทวิภาคีทั้งระดับสูงและระดับปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นกลาโหม การต่างประเทศ ด้านการค้า ด้านเศรษฐกิจ ด้านแรงงาน ด้านพลังงาน หรือแม้กระทั่งด้านสื่อสารและเทคโนโลยี ผมคิดว่ามันเป็นกลไกที่ทำให้ความร่วมมือของทั้งสองประเทศพัฒนารุดหน้าขึ้นไปอีก นี่เป็นส่วนที่อยู่คู่กับความเป็นสมาชิกของอาเซียน เอเปกและสหประชาชาติและความร่วมมือต่างๆ นอกจากนั้น ในกรอบของอนุภูมิภาคยังมีความร่วมมือในลักษณะของ ACMEC ซึ่งมีทั้งไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชาและเมียนมาร์ 5 ประเทศอยู่ในกรอบความร่วมมือนั้น ซึ่งปีหน้าจะมีการประชุมซัมมิดที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะมีผู้นำของ 5 ประเทศเข้าร่วม ผมก็มั่นใจว่า ก็เป็นอีกกรอบความร่วมมือหนึ่งที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศใกล้ชิดกันมากขึ้นไปอีก แล้วในเรื่องของเอเปกที่ทางเวียดนามกำลังจะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดในเดือนพฤศจิกายนที่จะมาถึงนี้ ประเทศไทยในฐานะสมาชิกเอเปกด้วยกันและประเทศเพื่อนบ้านก็ให้ความสนับสนุนเต็มที่กับเวียดนาม แล้วท่านนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตอบรับแล้วที่จะมาร่วมประชุม นี่ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีมาก”

ในนามผู้สื่อข่าวภาคภาษาไทยสถานีวิทยุเวียดนามขอขอบคุณท่านเอกอัครราชทูตไทยที่ได้ตอบสัมภาษณ์ภาคภาษาไทยในโอกาสครบรอบ 50 ปีอาเซียน.


Komentar