( VOVworld )-
ฮานอยมีสี่ฤดู แต่ละฤดูมีเสน่ห์เฉพาะ แต่สำหรับชาวฮานอยและผู้ที่เคยมาฮานอยนั้น ฤดูไม้ผลัดใบถือว่าเป็นฤดูสวยที่สุดของปีเพราะอากาศเย็นสบายพร้อมกลิ่นหอมอบอวลของดอกสัตบรรณ ดังนั้นเมื่อเอ่ยถึงฮานอยก็ต้องเอ่ยถึงดอกสัตบรรณ ดอกสัตบรรณได้กลายเป็นดอกไม้ประจำของฮานอย เมื่อฤดูไม้ผลัดใบใกล้จะผ่านพ้นไปและฤดูหนาวเข้ามาแทนที่ ดอกสัตบรรณในฮานอยจะบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
ดอกสัตบรรณส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วฮานอย
ดอกสัตบรรณไม่มีสีฉุดฉาดเหมือนดอกท้อ ดอกหางนกยูง ดอกเบญจมาศหรือถือเป็นดอกสง่างามเช่นกุหลาบ ดอกกล้วยไม้และดอกเหมย ดอกสัตบรรณสีเขียวอ่อนออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ปกติฤดูดอกสัตบรรณในฮานอยบานจะในช่วงปลายฤดูไม้ผลัดใบต้นฤดูหนาวหรือประมาณปลายเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม ดอกมีกลิ่นหอมเย็นสดชื่นในช่วงเช้าและช่วงค่ำ ซึ่งหากออกเดินเล่นตามถนนกวาง จูง เหงวียน ซู กว้านแท้ง ถุ่ยเควและถนนโก๋งือหรือถนนแทงเนียนจะก็ได้กลิ่นดอกสัตบรรณและจะได้เห็นดอกตัวเล็กๆใต้ต้นสัตบรรณเหมือนพรมสีเขียวอ่อน ดอกสัตบรรณจะบานในช่วงดึกวันที่ไม่มีลมสร้างภาพถนนฮานอยมีความโรแมนติกและเติมแต่งความสวยงามให้แก่ฮานอยยิ่งนัก กลิ่นหอมเย็นสดชื่นของดอกสัตบรรณได้ทำให้ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวหรือคนฮานอยซึ่งเป็นเมืองแห่งผู้ดีเมื่อต้องอยู่ห่างไกลจะอาลัยคิดถึงนครหลวงอย่างมิรู้วาย นายเลตุ่งเซือง ซึ่งอาศัยอยู่ที่ถนนถุ่ย เคว กรุงฮานอยเปิดเผย “ เมื่อเอ่ยถึงดอกสัตบรรณก็ทำให้ผมนึกถึงช่วงเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวในฮานอยที่อากาศไม่ร้อนอบอ้าวแต่กลับเย็นสบายและเมื่อเดินทอดน่องริมทะเลสาบจะได้กลิ่นหอมตลบอลอวล แม้ปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและคอนโดหรือตึกสูงผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ด แต่ความทรงจำและอารมณ์ความรู้สึกเกี่ยวกับฮานอยยามฤดูดอกสัตบรรณบานส่งกลิ่นหอมรัญจวนใจยังสถิตอยู่ในหัวใจของผมตลอดกาล กลิ่นอายของดอกสัตบรรณเหมือนกลิ่นน้ำหอมที่ทำให้เราหวนคิดถึงอดีต ”
สำหรับชาวฮานอยที่ต้องอยู่ไกลนครหลวงนั้น พวกเขามักจะคิดถึงฮานอยและกลิ่นดอกสัตบรรณพร้อมความทรงจำและความรู้สึกบอกไม่ถูก นางสาวเหงวียน หว่าง แองที่กำลังศึกษาในสาธารณรัฐเกาหลีเล่าว่า “ กลิ่นดอกสัตบรรณหอมอบอวล แต่บางช่วงกลิ่นหอมฉุน ดังนั้นถนนหนึ่งสายควรมีต้นสัตบรรณหนึ่งหรือสองต้นก็พอแล้วเพราะจะได้ไม่ส่งกลิ่นรุนแรง ตอนกำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ผมกับเพื่อนๆถีบจักรยานตามถนนสายต่างๆในนครหลวงเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศฮานอยยามดึกและสูดดมกลิ่นหอมของดอกสัตบรรณท่ามกลางอากาศเย็นสบายยามฤดูไม้ผลัดใบ ทั้งนี้ทำให้เกิดความรู้สึกที่มีทั้งความอาลัยอาวรณ์และความคิดถึงอะไรสักอย่างระคนกันอย่างบอกไม่ถูก ฤดูดอกสัตบรรณผ่านพ้นไป ๓ ฤดูที่ผมไม่ได้สูดดมกลิ่นหอมที่คุ้นเคยนี้เพราะอยู่ไกลจากฮานอยมาก ทั้งนี้ทำให้ผมยิ่งคิดถึงกลิ่นหอมของดอกสัตบรรณ และคิดถึงฮานอยยิ่งขึ้น ”
ดอกสัตบรรณซึ่งเป็นดอกประจำนครหลวงฮานอยและเป็นดอกไม้มงคลชนิดหนึ่งได้สร้างอารมณ์สุนทรีย์ให้แก่นักเขียน กวีและนักดนตรีที่มีชื่อเสียงหลายท่านที่ได้แต่งผลงานที่อมตะเช่น บทเพลง “ ฮานอยแห่งความคนึงหา ”ของนักดนตรีตริ่ง กง เซิน บทเพลง “ น้องจ๋าเธอคือฮานอย ” ดนตรีของฟู้กวาง คำร้องของฟานหวู บทเพลง “ ฮานอยยามไม้ผลัดใบ ” ของหิว ซวนและบทเพลง “ ฮานอยคืนเงียบเหงา ” ดนตรีของฟู้กวาง คำร้องของฝ่าม ถิ่ หงอก เลียนและบทเพลงอีกหลายบทเกี่ยวกับฮานอยและดอกสัตบรรณ แต่บทเพลงที่กล่าวถึงดอกสัตบรรณและกลิ่นหอมของดอกนี้ยามฮานอยย่างเข้าฤดูหนาวซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของฮานอยก็ต้องกล่าวถึงคือ “ ดอกสัตบรรณ ” ของนักดนตรีห่ง ดังที่แต่งตั้งแต่ปีค.ศ.๑๙๗๘ ซึ่งถือเป็นเพลงอมตะบทหนึ่งที่สร้างอารมณ์สุนทรีย์ให้แก่นักดนตรีคนอื่นๆแต่งเพลงเกี่ยวกับดอกสัตบรรณในช่วงฮานอยเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว
นักดนตรีห่ง ดังกล่าวถึงบทเพลง “ ดอกสัตบรรณ ”ของตนว่า “ บทเพลงกล่าวถึงความรักฮานอย ความรักระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ความรักของผมซึ่งเกิดที่ภาคกลางแสนไกลและมาฮานอยรักฮานอยเหมือนบ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งฮานอยมีต้นไม้ดอกที่ทิ้งไว้ซึ่งความรู้สึกดีๆเกี่ยวกับความรัก ความเป็นเมืองผู้ดีและมีเสน่ห์ ดอกสัตบรรณส่งกลิ่นหอมอบอวลยามค่ำคืน พี่จะคิดถึงหนูไหม๊คะ ที่นี้ ดอกสัตบรรณคือเธอ เธอยังรอคอยผมเสมือนดอกไม้รอคอยแสงตะวัน เสมือนสายลมโหยหาทิวต้นสน เสมือนฟ้ารอคอยปุยเมฆมาเยือน ” ต้นสัตบรรณถูกปลูกไม่ใช่เฉพาะในฮานอย แต่ฮานอยยามดึกที่ตลบอลอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกสัตบรรณจะทำให้ชาวฮานอยแม้จะอยู่ใกล้หรือไกลต่างก็คิดถึงนครหลวง .