ประธานาธิบดีสิงคโปร์ Halimah Yacob เยือนเวียดนาม |
การเยือนประเทศเวียดนามของประธานาธิบดีสิงคโปร์ Halimah Yacob ได้มีขึ้นในสภาวการณ์ที่ทั้งสองประเทศกำลังมุ่งสู่การฉลองครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตและ 10 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในปี 2023
ความไว้วางใจทางยุทธศาสตร์ที่นับวันได้รับการเสริมสร้าง
ในการประเมินเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการทูตกับสิงคโปร์ในตลอด 50 ปีที่ผ่านมาและ 10 ปีแห่งความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ รองศ. หวูมิงเคือง จากวิทยาลัยนโยบายสาธารณะลี กวน ยู ของสิงคโปร์ได้ย้ำว่า นี่คือผลงานที่น่ายินดีที่ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุ นั่นคือ ความไว้วางใจเชิงยุทธศาสตร์ โดยสามารถเห็นผลความร่วมมือนี้ในตลอด 50 ปี โดยเฉพาะในช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมาคือ การที่สิงคโปร์ได้กลายเป็นหนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ซึ่งในปัจจุบันมียอดเงินลงทุนที่ประมาณ 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 สิงคโปร์เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ลงทุนในเวียดนามมากที่สุด เมื่อกลางเดือนมีนาคมปี 2022 ณ จังหวัดบิ่งเยือง ได้มีการจัดพิธีวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างเขตนิคมอุตสาหกรรมเวียดนาม – สิงคโปร์IIIหรือ VSIP III ซึ่งเป็นเขตนิคมอุตสาหกรรม VSIP ลำดับที่ 11 ในเวียดนามและเป็นแห่งที่ 3 ในจังหวัดบิ่งเยือง โดยเขตนิคมอุตสาหกรรมเหล่านี้ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพระหว่างสองประเทศ รองศ. หวูมิงเคือง ให้ข้อสังเกตว่า ในเวลาข้างหน้า การลงทุนในเวียดนามของสิงคโปร์จะเพิ่มสูงขึ้นและสิงคโปร์จะได้รับประโยชน์จากผลสำเร็จต่างๆในการพัฒนาของเวียดนามอีกด้วย
“นักวิจัยสิงคโปร์แสดงความคิดเห็นว่า ความร่วมมือระหว่างสิงคโปร์กับเวียดนามยังมีศักยภาพสูง ซึ่งเวียดนามเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ มีความมั่นใจ น่าเชื่อถือและกำหนดวิสัยทัศน์ในระยะยาว มีความมุ่งมั่นที่จะนำประเทศและหุ้นส่วนก้าวรุดหน้าต่อไปหลังวิฤตโควิด -19”
รองศ. หวูมิงเคือง จากวิทยาลัยนโยบายสาธารณะลี กวน ยู ของสิงคโปร์ (VNA) |
ความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคียังมีศักยภาพสูง
เวียดนามและสิงคโปร์เป็นสองเศรษฐกิจที่สนับสนุนกันในหลายด้าน สิงคโปร์มีแหล่งเงินลงทุนใหญ่ มีระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีจุดแข็งในด้านเศรษฐกิจที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมทั้งเป็นตลาดการท่องเที่ยว สาธารณสุขและการศึกษาที่ได้รับความสนใจจากชาวเวียดนาม
ในขณะที่เวียดนามเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจของสถานประกอบการและนักลงทุนสิงคโปร์ เนื่องจากการเมืองมีเสถียรภาพ มีความพร้อมในด้านแหล่งแรงงานและมีสภาพธรรมชาติที่เหมาะสมสำหรับการตั้งโรงงานผลิตไฟฟ้าทั้งพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ นอกจากนี้ เวียดนามยังเป็นแหล่งจัดสรรอาหารที่อุดมสมบูรณ์ หลากหลายและสามารถตอบสนองความต้องการของชาวสิงคโปร์ได้
เวียดนามและสิงคโปร์อยู่ไม่ไกลกันมากนัก มีการเชื่อมโยงกันทั้งทางทะเลและทางอากาศที่สะดวกมาก ทั้งสองประเทศต่างเป็นสมาชิกของกลไกความร่วมมือด้านเศรษฐกิจทั้งระดับภูมิภาคและโลก เช่น อาเซียน RCEP และ CPTPP ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างสองประเทศจึงมีศักยภาพสูง ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี นาย Tan See Leng รัฐมนตรีทรัพยากรบุคคลของสิงคโปร์ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับศักยภาพความร่วมมือระหว่างสองประเทศว่า
“สถานประกอบการสิงคโปร์มีก้าวเดินที่น่ายินดีในกรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ และกำลังขยายการประกอบธุรกิจไปยังจังหวัดอื่นๆ เช่น หวิงฟุ๊กและบิ่งเยือง ซึ่งแนวโน้มนี้ก็ไม่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด -19 เพราะว่า สิงคโปร์และเวียดนามได้ร่วมกันกำหนดด้านความร่วมมือใหม่ ๆ และพวกเราให้คำมั่นว่า จะขยายความร่วมมือในด้านพลังงาน ธัญญาหาร การเกษตร การท่องเที่ยว การขนส่งและการศึกษา เป็นต้น”
ในสภาวการณ์ที่โลกและภูมิภาคกำลังรับมือความผันผวนเป็นอย่างมากและค่อยๆ หลุดพ้นจากวิกฤตโควิด -19 ยังมีหลายปัญหาที่ทั้งสองฝ่ายควรทาบทามความคิดเห็น ส่งเสริมความไว้วางใจเชิงยุทธศาสตร์และขยายความร่วมมือในเชิงลึกในเวลาที่จะถึง
จากผลสำเร็จที่ของความร่วมมือด้านการทูตในตลอดเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา ความไว้วางใจเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองประเทศได้รับการเสริมสร้างเป็นอย่างมาก ซึ่งการเยือนเวียดนามครั้งนี้ของประธานาธิบดีสิงคโปร์จะสร้างก้าวเดินเชิงยุทธศาสตร์ใหม่ให้แก่การขยายความร่วมมือระหว่างสองประเทศในเวลาที่จะถึง.