เวียดนามผลักดันการปฏิรูปเพื่อการขยายตัวที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

Dung - Van - VOV
Chia sẻ
(VOVWORLD) - ตั้งแต่ต้นปี 2018 รัฐบาลเวียดนามได้ประกาศมติ 01 เกี่ยวกับการบริหารเศรษฐกิจสังคมและงบประมาณแผ่นดินปี 2018 โดยเน้นถึงมาตรการที่ค้ำประกันทั้งเป้าหมายการขยายตัว การผลักดันกระบวนการปฏิรูปและปรับเปลี่ยนรูปแบบการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีเหงียนซวนฟุ๊กได้สั่งให้กระทรวงและหน่วยงานทุกระดับเร่งจัดทำระเบียบการที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถให้ทำงานในเขตไฮเทค แก้ไขอุปสรรคด้านกลไกระเบียบการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและอำนวยความสะดวกในการดำเนินโครงการลงทุนในเวียดนาม ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้เศรษฐกิจเวียดนามเข้าสู่ระยะการขยายตัวใหม่ที่มีคุณภาพมากขึ้น
เวียดนามผลักดันการปฏิรูปเพื่อการขยายตัวที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น - ảnh 1นายกรัฐมนตรีเหงียนซวนฟุ๊กกล่าวปราศรัยในเขตไฮเทคหว่าหลาก (Photo: VGP)

 

การปฏิรูปเศรษฐกิจตามแนวทางสังคมนิยมช่วยให้เวียดนามเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจเชิงตลาดที่ประสบความสำเร็จของโลก โดยสามารถสนับสนุนเศรษฐกิจภาคเอกชน ส่วนสถานประกอบการภาครัฐได้รับการปฏิรูปตามกลไกของเศรษฐกิจเชิงตลาด  ปัจจุบันนี้ การผลิต เทคโนโลยีสารสนเทศและการประกอบธุรกิจด้านเทคโนโลยีขั้นสูงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจเวียดนาม อัตราผู้ยากจนลดลงเนื่องจากการปฏิบัตินโยบายต่างๆอย่างเหมาะสม เช่น การจัดสรรที่ดินตามรูปแบบเฉลี่ยต่อหัวประชากร เป็นต้น

แปรนโยบายดึงดูดนักวิจัยให้เข้ามาทำงานในเขตไฮเทคให้เป็นรูปธรรม

ขณะนี้ ที่เวียดนามมีเขตไฮเทคระดับชาติ 3 แห่ง ซึ่งประกอบด้วย เขตไฮเทคหว่าหลากในกรุงฮานอย เขตไฮเทคดานังและเขตไฮเทคนครโฮจิมินห์ ซึ่งการดึงดูดการลงทุนในเขตไฮเทคเหล่านี้มีส่วนร่วมสร้างพื้นฐานให้แก่การพัฒนาแหล่งพลังทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเวียดนามรายงานว่า ถึงขณะนี้ เขตไฮเทคทั้ง 3 แห่งนี้สามารถดึงดูดโครงการลงทุนได้กว่า 200 โครงการรวมเงินทุนจดทะเบียนเกือบ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

วัตถุประสงค์ของการก่อสร้างเขตไฮเทคเหล่านี้ก็เพื่อผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของท้องถิ่น ดังนั้น เวียดนามจึงให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆต่อการปรับปรุงนโยบายให้มีความสมบูรณ์เพื่อดึงดูดการลงทุนในเขตไฮเทคให้มากขึ้น

ในการเดินทางไปเยือนเขตไฮเทคหว่าหลากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรีเหงียนซวนฟุ๊กได้ย้ำว่า            “ผมตั้งความหวังว่า เขตไฮเทคหว่าหลากจะมีส่วนร่วมต่อระบบวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีในยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งจะเป็นแหล่งพัฒนากระบวนการ Start – up เพื่อพัฒนากรุงฮานอยและประเทศเวียดนาม ดังนั้น ทางการและหน่วยงานทุกระดับต้องให้ความสนใจมากขึ้นเพื่อช่วยให้การสร้างสรรค์เขตไฮเทคเหล่านี้ประสบความสำเร็จ”

สำหรับการแก้ไขอุปสรรคด้านระเบียบและกลไก นายกรัฐมนตรีเหงียนซวนฟุ๊กได้สั่งให้กระทรวงและหน่วยงานทุกระดับประกาศเอกสารแนะนำเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่การพัฒนาเขตไฮเทคและมีข้อเสนอเพื่อแก้ไขข้อกำหนดที่เป็นอุปสรรค โดยเฉพาะข้อกำหนดในกฎหมายเทคโนโลยีขั้นสูงปี 2008            “กลไกระเบียบนโยบายที่ดึงดูดแหล่งบุคลากรที่มีคุณภาพสูงต้องมีความชัดเจนเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักวิจัยเข้ามาทำงานในเขตไฮเทค รองนายกรัฐมนตรีหวูดึ๊กดามจะรับฟังข้อเสนอเหล่านี้เพื่อร่วมมือกับกระทรวงการคลัง กระทรวงวางแผนและการลงทุนและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อทำการแก้ไขโดยเร็ว ส่วนตัวผมเองก็พร้อมสนับสนุนและช่วยแก้ไขอุปสรรคด้านกฏหมาย และเสนอให้รัฐบาลลงคะแนนอนุมัติและสนับสนุนนโยบายดึงดูดปัญญาชน นี่คือสิ่งที่สำคัญในการทำธุรกิจ Start – up และการสร้างสรรค์กระบวนการ Start – up ในเวียดนาม”

ผลักดันการปฏิรูปในหลายด้านต่อไป

ปี 2018 ถือเป็นปี “หัวเลี้ยวหัวต่อ” ของเวียดนามในการผสมผสานเข้ากับกระแสเศรษฐกิจโลก ซึ่งถือเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายต่อเวียดนาม ดังนั้นเพื่อบรรลุเป้าหมายการขยายตัวในระดับสูงอย่างยั่งยืน เวียดนามต้องปฏิรูปบรรยากาศการประกอบธุรกิจมากขึ้นเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นให้แก่สถานประกอบการ ควบคู่กันนั้น ต้องผลักดันระบบเศรษฐกิจเชิงตลาดและส่งเสริมสถานประกอบการให้เพิ่มการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและใช้โอกาสจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 รัฐบาลยังกำชับว่า จะเน้นปฏิรูประเบียบราชการและพยายามให้ภายในปี 2018 นี้เวียดนามอยู่ในรายชื่อกลุ่มอาเซียน – 4 ที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและบรรยากาศการลงทุน

ทั้งนี้และทั้งนั้นสามารถกล่าวได้ว่า ศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเวียดนามจะมีความสะดวกเป็นอย่างมากถ้าหากกระบวนการปฏิรูปภายในประเทศได้รับการปฏิบัติอย่างพร้อมเพรียงต่อไป

ใน 3 ปีที่เหลือของยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจ – สังคมระยะปี 2011-2020และแผนการปฏิรูปโครงสร้างและปรับเปลี่ยนการขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะปี 2016-2020 มีความหมายชี้ขาดต่อการพัฒนาของเวียดนามในรอบ 15 ปีข้างหน้า เพราะนี่คือช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเวียดนามปรับเปลี่ยนจากการขยายตัวเชิงปริมาณที่ขาดเสถียรภาพและได้รับความเสี่ยงง่ายไปสู่การขยายตัวเชิงคุณภาพและมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง ดังนัน ตั้งแต่ต้นปี 2018 รัฐบาลจึงได้เร่งผลักดันการปฏิรูปเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว.

Komentar