เดียนเบียนฟู – จุดนัดพบแห่งสันติภาพ มิตรภาพและความร่วมมือ

Chia sẻ
(VOVWORLD) - ในประวัติศาสตร์การสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศของประชาชาติเวียดนาม ชัยชนะเดียนเบียนฟูเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมปี 1954 เป็นนิมิตหมายที่สำคัญและเป็นเหมือนปาฏิหารณ์ที่ยิ่งใหญ่และรุ่งโรจน์ของยุคโฮจิมินห์ ซึ่งได้สร้างหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งประวัติศาสตร์ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของสงครามอันนำไปสู่การลงนามในข้อตกลงเจนีวาเกี่ยวกับการยุติสงคราม สร้างสันติภาพในอินโดจีน สร้างพื้นฐานและเงื่อนไขให้ประชาชนเวียดนามได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในสงครามต่อต้านอเมริกาเพื่อกู้ชาติ ปลดปล่อยภาคใต้ รวมประเทศเป็นเอกภาพ
เดียนเบียนฟู – จุดนัดพบแห่งสันติภาพ มิตรภาพและความร่วมมือ - ảnh 1บ่ายวันที่ 7/5/1954 กองทัพเวียดนามได้บุกยึดสนามรบเดียนเบียนฟูและปักธงชัยเหนืออุโมงค์ของนายพล  De Castries (TTXVN)

หลัง 70 ปีนับตั้งแต่ชัยชนะดังกล่าว เดียนเบียนฟูในวันนี้ยังคงเป็นสถานที่บ่มเพาะความสุขและเปิดเส้นทางแห่งสันติภาพ มิตรภาพและความร่วมมือระหว่างประชาชาติฝรั่งเศสและประชาชาติเวียดนาม เพื่อสานต่อเรื่องราวต่างๆ จากชัยชนะเดียนเบียนฟู

ชัยชนะเดียนเบียนฟู – นิมิตหมายทองในประวัติศาสตร์ของประชาชาติเวียดนาม

ในหลายวันมานี้ ชาวเวียดนามและชาวต่างชาติ รวมทั้งชาวฝรั่งเศส ทหารผ่านศึก นักท่องเที่ยว เยาวชนและยุวชน ได้มาเที่ยวเดียนเบียนฟู เพื่อศึกษาเกี่ยวกับชัยชนะเดียนเบียนฟูและการที่กองทัพและประชาชนเวียดนามใช้สร้างชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์นี้ ซึ่งการพบปะสังสรรค์กับผู้ที่เคยร่วมต่อสู่ในสมรภูมิตอนนั้นกับเรื่องราวที่ได้ฟังและร่องรอยแห่งสงครามที่ได้เห็นทุกคนสามารถเข้าใจเกี่ยวกับความหมายบทบาทและคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ของชัยชนะเดียนเบียนฟู การเริ่มต้นของการล่มสลายของลัทธิล่าอาณานิคม และก็เป็นก้าวพัฒนาใหม่ของการปฏิวัติปลดปล่อยประชาชาติที่ถูกกดขี่ขูดรีดในทั่วโลก

“ในสภาวการณ์ที่ความแข็งแกร่งทั้งด้านอาวุปยุทโธปกรณ์และกำลังรบของกองทัพเวียดนามมีขนาดด้อยกว่ากองทัพของฝรั่งเศสหลายเท่าแต่ประธานโฮจิมินห์ก็ยึดหลักจิตใจแห่งการต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวและสร้างขวัญกำลังใจให้ทั้งประชาชาติเวียดนามยืนหยัดต่อสู้ด้วยความมุ่งมั่น “ยอมเสียสละทุกอย่างแต่ไม่ยอมเสียชาติ ไม่ยอมตกเป็นทาสอย่างเด็ดขาด”

“คุณค่าที่ใหญ่ที่สุดของชัยชนะเดียนเบียนฟูคือเป็นการพิสูจน์ให้มนุษยชาติทั่วโลกเห็นว่า แม้จะเป็นประชาชาติที่ถูกกดขี่ขูดรีดและเป็นประเทศที่เล็กกว่าหลายเท่าแต่หากเราสามัคคีกัน ส่งเสริมพลังที่เข้มแข็งที่เป็นเกียรติประวัติอันล้ำค่าภายใต้การชี้นำอย่างปรีชาสามารถ เราก็สามารถเอาชนะได้”

“ชัยชนะเดียนเบียนฟูก้องกระเดื่องไปทั่วโลกเพราะเป็นครั้งแรกที่ประชาชาติเล็ก ๆ สามารถเอาชนะประเทศนักล่าเมืองขึ้นที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ คำว่า “เวียดนาม” “โฮจิมินห์” “เดียนเบียนฟู” และ “พลเอกหวอเงวียนย้าป” ได้กลายเป็นคำขวัญ เป็นความเชื่อมั่น เป็นอุดมการณ์และพลังขับเคลื่อนให้แก่ประชาชาติที่ถูกกดขี่ขูดรีดในทั่วโลก”

เดียนเบียนฟู – จุดนัดพบแห่งสันติภาพ มิตรภาพและความร่วมมือ - ảnh 2ในหลายวันมานี้ ชาวเวียดนามและชาวต่างชาติ รวมทั้งชาวฝรั่งเศส ทหารผ่านศึก นักท่องเที่ยว เยาวชนและยุวชน ได้หลั่งไหลมาเที่ยวเดียนเบียนฟูจำนวนมาก

ชัยชนะเดียนเบียนฟูก้องกระเดื่องทั่วโลกนั้นมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ เป็นการตกผลึกของแนวความคิดและการรวมรวมสะสมปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะการชี้นำอย่างปรีชาสามารถของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามและประธานโฮจิมินห์ ซึ่งได้สร้างเสริมความภาคภูมิใจให้แก่ประชาชาติเวียดนาม เป็นการปลูกเร้าจิตใจแห่งการต่อสู้ของทั้งพรรคฯ กองทัพและประชาชนเวียดนามเพื่อสร้างดอกผลอันยิ่งใหญ่ในภารกิจการสร้างสรรค์และพิทักษ์รักษาปิตุภูมิในระยะต่อไป นาย บุ่ยเวียดจุง จากคณะวิจัยประวัติศาสตร์พรรคฯ โรงเรียนการเมืองจังหวัดบิ่งเฟือกแสดงความคิดเห็นว่า

“ด้วยชัยชนะเดียนเบียนฟู ภาคเหนือเวียดนามได้รับการปลดปล่อยอย่างสมบูรณ์ การปฏิวัติประชาธิปไตยได้ประสบผลสำเร็จในขั้นพื้นฐานเราสามารถปกป้องดอกผลแห่งการปฏิวัติเดือนสิงหาคมได้อย่างมั่นคง สร้างสรรค์รัฐประชาธิปไตยประชาชนรัฐแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

ชัยชนะเดียนเบียนฟูที่เป็นอมตะคือความภาคภูมิใจ เป็นแหล่งพลังภายในที่แข็งแกร่งเพื่อช่วยให้เวียดนามดำเนินภารกิจการสร้างสรรค์และพิทักษ์รักษาปิตุภูมิอย่างเข้มแข็งจนถึงปัจจุบัน

เดียนเบียนฟู – จุดนัดพบแห่งสันติภาพ มิตรภาพและความร่วมมือ - ảnh 3ฟอรั่มสถานประกอบการเวียดนาม - ฝรั่งเศสที่มีขึ้นเมื่อเดือนเมษายนปี 2023 (TTXVN)

เวียดนามและฝรั่งเศสร่วมกันมุ่งสู่อนาคต

ในตลอด 70 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะนับตั้งแต่ที่เวียดนามและสาธาณรัฐฝรั่งเศสได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี 1973 และในกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ที่ทั้งสองประเทศได้ยกระดับความสัมพันธ์ขึ้นเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เมื่อปี 2013  ปัจจุบัน เวียดนามและฝรั่งเศสเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่สำคัญของกัน มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในทุกด้านและแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคต

ในด้านการเมือง กลไกการแลกเปลี่ยนใน 4 เสาหลักของความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เวียดนาม – ฝรั่งเศสคือ การเมือง – การทูต กลาโหม – ความมั่นคง เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน วัฒนธรรม การศึกษา – ฝึกอบรม ล้วนได้รับการผลักดันและมีบทบาทสำคัญในการกำหนดแนวทางพัฒนาในอนาคต ในด้านเศรษฐกิจ – การค้า ฝรั่งเศสกำลังเป็นหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่อันดับ 5 ของเวียดนามในยุโรป โดยมูลค่าการค้าต่างตอบแทนช่วงปี 2011-2019 มีการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 15.7 ต่อปี และบรรลุ 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 ฝรั่งเศสติดอันดับที่ 3 ในจำนวนประเทศยุโรปที่ลงทุนในเวียดนามมากที่สุด รวมเงินทุนจดทะเบียน 3.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

นาย Herve Conan ผู้อำนวยการสำนักงานการพัฒนาฝรั่งเศสหรือ AFD ประจำเวียดนามเผยว่า ในตลอดกว่า 30 ปีที่ผ่านมา AFD สามารถระดมเงินทุนได้เกือบ 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่โครงการสนับสนุนการพัฒนาในเวียดนามและความร่วมมือนี้นับวันมุ่งสู่เป้าหมายที่สูงขึ้นในอนาคต

“เมื่อก่อน ความร่วมมือของเราอยู่แค่การพัฒนาชนบทและแก้ปัญหาความยากจนเท่านั้น แต่ปัจจุบันความร่วมมือมีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่ง AFD ไม่เพียงแต่จัดสรรเงินทุนให้แก่โครงการต่างๆ เท่านั้น หากยังให้ความรู้และผลักดันการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน เสนอประสบการณ์และบทเรียนต่างๆ ช่วยให้เวียดนามสามารถเลือกเส้นทางการพัฒนาของตน”

เดียนเบียนฟู – จุดนัดพบแห่งสันติภาพ มิตรภาพและความร่วมมือ - ảnh 4นาย Herve Conan ผู้อำนวยการสำนักงานการพัฒนาฝรั่งเศสหรือ AFD ประจำเวียดนาม (TTXVN)

ส่วนนาง Marie Christine Oghly รองประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมหรือ CCI เขตตัวเมือง Ile-de France ของฝรั่งเศสได้ประเมินว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างเวียดนามกับฝรั่งเศสยังมีโอกาสมากมายในหลายด้านเนื่องจากการกระตุ้นศักยภาพของเศรษฐกิจเวียดนามในห่วงโซ่มูลค่าโลก

“เวียดนามเป็นประเทศที่สำคัญในความร่วมมือด้านการทูตและเศรษฐกิจของฝรั่งเศสและหอการค้าและอุตสาหกรรมแคว้นอีล-เดอ-ฟร็องส์พยายามแสวงหาวิธีการผลักดันความสัมพันธ์นี้ ซึ่งการเชื่อมโยงระหว่างพวกเรากับเวียดนามใกล้ชิดมากและสถานประกอบการฝรั่งเศสให้ความสนใจเป็นอย่างมากต่อเวียดนามเพราะเวียดนามได้ผสมผสานเข้ากับห่วงโซ่คุณค่าโลก”

ในความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างเวียดนามกับฝรั่งเศส ความร่วมมือระหว่างท้องถิ่นต่างๆของทั้งสองประเทศถือเป็นปัจจัยที่สำคัญ ผ่านกลไกการจัดการประชุมความร่วมมือระดับท้องถิ่นทุกๆ 2 ปีในแต่ละประเทศ  ซึ่งการจัดการประชุม 12 ครั้งได้สร้างพื้นฐานให้แก่การปฏิบัติโครงการร่วมมือนับร้อยและโครงการระหว่างท้องถิ่นของทั้งสองประเทศ นาย Philippe Pradal สส.ฝรั่งเศส อดีตรองนายกเทศมนตรีเมืองนีซเห็นว่า

“เจตนารมณ์ของความร่วมมือที่ดีได้รับการแสดงให้เห็นผ่านข้อตกลงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยนีซกับมหาวิทยาลัยต่างๆของเวียดนาม ซึ่งพวกเรามีความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของเวียดนาม ทั้งสองประเทศมีประวัติศาสตร์ร่วมกัน  ที่ประเทศฝรั่งเศส วัฒนธรรมเวียดนามเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงและได้รับความสนใจ”

เดียนเบียนฟู – จุดนัดพบแห่งสันติภาพ มิตรภาพและความร่วมมือ - ảnh 5นาย Olivier Brochet เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำเวียดนาม (TTXVN)

ส่วนนาย Olivier Brochet เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำเวียดนามเห็นว่า สิ่งที่สำคัญคือทั้งสองประเทศได้ฟันฝ่าความทรงจำที่เจ็บปวดในอดีต โดยแสดงให้เห็นผ่านการเข้าร่วมพิธีรำลึกครบรอบ 70 ปีชัยชนะเดียนเบียนฟูของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมฝรั่งเศสและรัฐมนตรีที่ดูแลทหารผ่านศึกและความทรงจำ เอกอัครราชทูต Olivier Brochet เห็นว่า

“ผมเชื่อมั่นว่า นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีเพราะผ่านงานนี้ พวกเราแสดงให้ทั้งชาวเวียดนาม ชาวฝรั่งเศสและประชาชนทั่วโลกทราบว่า พวกเราอาจร่วมกันทบทวนอดีต ยอมรับอดีตและภายหลัง 70 ปี พวกเราได้กลายเป็นเพื่อนมิตรและร่วมกันสร้างอนาคต”

เมื่อหวนมองประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา นาย Benoit Guidée อธิบดีกรมเอเชีย-ออสเตรเลียสังกัดกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสเผยว่า ฝรั่งเศสมีการเชื่อมโยงกับเวียดนามมากกว่าประเทศอื่น ๆในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก คือมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งได้รับการท้าทายผ่านความผันผวนทางประวัติศาสตร์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ค้ำประกันการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้มั่นคงในอนาคต

เดียนเบียนฟู –แหล่งหล่อเลี้ยงความรักและความปรารถนาในสันติภาพ

ดั่งคำกล่าวของนาย Benoit Guidée อธิบดีกรมเอเชีย-ออสเตรเลียสังกัดกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสที่ว่า  ฝรั่งเศสมีความสัมพันธ์กับเวียดนามที่แน่นแฟ้นกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน   ในฤดูดอกกาหลงเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในเมืองเดียนเบียนฟู มีงานแต่งงานของคู่รักชาวเวียดนาม-ฝรั่งเศสคู่หนึ่ง    ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เดียนเบียนฟู ซึ่งเป็นสมรภูมิที่ดุเดือดในอดีตได้กลายเป็นแหล่งหล่อเลี้ยงความรักและความปรารถนาเกี่ยวกับสันติภาพ

ในกระแสผู้คนที่มาเยือนพิพิธภัณฑ์ชัยชนะเดียนเบียนฟูในโอกาสรำลึกครบรอบ 70 ปีชัยชนะเดียนเบียนฟู มีสองครอบครัวชาวเวียดนามและฝรั่งเศส  ซึ่งพวกเขามาที่นี่ก่อนงานแต่งงานของคู่รักเจิ่นหงอกกวิ่งแองและนาย Guillaume Richard ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นความรักของคู่รักนี้  โดยเมื่อ 7 ปีก่อน ตอนที่ กวิ่งแองเป็นอาสาสมัครในพิพิธภัณฑ์ชัยชนะเดียนเบียนฟู กวิ่งแองเผยว่า 

“พวกเราเจอกันตอนที่ Guillaume Richard มาเที่ยวที่นี่ พวกเราได้พูดคุยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ครอบครัวของเขามีเกียรติประวัติแห่งความใฝ่สันติภาพ ในสงครามอินโดจีน คุณปู่คุณย่าของเขาได้เข้าร่วมขบวนการหยุดงานเพื่อคัดค้านสงคราม เรามีจุดร่วมคือรักสันติภาพ สำหรับพวกเรา นี่เป็นบ้านเกิดของดิฉันและเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง”

เดียนเบียนฟู – จุดนัดพบแห่งสันติภาพ มิตรภาพและความร่วมมือ - ảnh 6งานแต่งงานของเจิ่นหงอกกวิ่งแองและ Guillaume Richard 

เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่รุ่งโรจน์เกี่ยวกับชัยชนะเดียนเบียนฟูที่ก้องกังวาลไปทั่วโลกเมื่อ 70 ปีก่อน สิ่งของวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่ถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ชัยชนะเดียนเบียนฟูได้มีส่วนร่วมจุดประกายความรักระหว่างสองคน โดยไม่มีความห่างเหินด้านภูมิศาสตร์ความแตกต่างของเชื้อชาติและความปวดร้าวสูญเสียของสงครามในอดีต นาย Guillaume Richard เผยว่า

"โชคชะตาทำให้เราได้พบกันและจัดงานแต่งงานประจวบกับโอกาสรำลึกครบรอบ 70 ปีชัยชนะเดียนเบียนฟู ซึ่งความรักของพวกเราเริ่มต้นเมื่อผมเลือกมาเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์พิเศษแห่งนี้ เราคบกันได้ 4 ปี แต่ก็ต้องอยู่ไกลกันเพราะเราอยู่กันคนละประเทศและมีการแพร่ระบาดของโควิด -19 เมื่อกวิ่งแองไปเรียนที่ฝรั่งเศส เราจึงตัดสินใจแต่งงานกันมันคือฟ้าลิขิตให้เราสองคนจริงๆ”

นาย Guillaume Richard  ตัดสินใจพาคุณปู่คุณย่าจากฝรั่งเศสมาเยือนบ้านเกิดของเจ้าสาวก่อนวันแต่งงาน เยือนโบราณสถานทางประวัติศาสตร์เพื่อส่งเสริมความใกล้ชิดระหว่างสองครอบครัว  เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของเวียดนาม โดยเฉพาะจังหวัดเดียนเบียน ซึ่งเป็นความปรารถนาของนาย เจิ่นหงอกเซือง พ่อของกวิ่งแองและนาย Michel Gagne Richard   ปู่ของคุณ Guillaume

ภายหลัง 50 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้ย่างเข้าสู่ระยะใหม่ พวกเราไม่สามารถลืมสงครามเพราะคนรุ่นก่อนได้เสียสละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องประเทศ ซึ่งพวกเราหวังว่า   ผ่านการเยือนนี้ คุณปู่คุณย่าของคุณ Guillaumeจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับเดียนเบียนและเวียดนาม”  “พวกเรารักกวิ่งแองตั้งแต่เจอเธอครั้งแรก เธอน่ารักมากและครอบครัวของเธอเป็นมิตร ผมคิดถึงประวัติศาสตร์พิเศษระหว่างสองประเทศ เกียรติประวัติแห่งความใฝ่สันติภาพของครอบครัวพวกเรา เราเข้าร่วมชุมนุมคัดค้านสงคราม นี่เป็นชะตากรรมที่เชื่อมโยงระหว่างหลานของผมกับกวิ่งแอง เป็นการเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศและเปิดอนาคตที่เต็มไปด้วยความหวัง”.

Komentar