(Photo kt vov1 )
|
วิกฤตในซีเรียยังไม่ยุติ
ที่ซีเรีย ซึ่งเป็นจุดร้อนในหลายปีที่ผ่านมา การปะทะ การใช้ความรุนแรง การแบ่งแยกทางเชื้อชาติและการแย่งชิงอำนาจของบรรดาประเทศยังคงมีขึ้นอย่างซับซ้อน ถึงปลายปี 2019 ซีเรียยังคงอยู่ในภาวะแตกแยก มีการปรากฎตัวของกองกำลังติดอาวุธนับสิบฝ่าย รวมทั้งกองกำลังติดอาวุธต่างประเทศ หลังจากที่ตุรกีเปิดยุทธนาการ “ฤดูใบไม้ผลิแห่งสันติภาพ” ใส่ภาคเหนือของซีเรียเป็นเวลา 2 สัปดาห์นับตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคมได้ส่งผลให้สถานการณ์การเมืองในซีเรียมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก โดยอิทธิพลของสหรัฐลดลงในขณะที่อิทธิพลของรัสเซียเพิ่มขึ้น ส่วนตุรกีและซีเรียได้มีก้าวเดินอีก 1 ก้าวในแผนของตน
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องสันติภาพและเสถียรภาพของชาวซีเรีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาคมโลกคาดหวังว่าจะได้เห็นมากที่สุดกลับยังไม่เป็นจริงเพราะในขณะนี้ ยังคงมีการปะทะเกิดขึ้นอย่างดุเดือดในภาคใต้ที่เมือง Idlib หรือในเขต Daraa และกรุงดามัสกัส ในตลอด 1 ปีที่ผ่านมา การใช้ความรุนแรงและการปะทะยังคงมีขึ้นในพื้นที่ต่างๆของซีเรียอย่างต่อเนื่อง โดยมีกองทัพจากต่างประเทศ กองกำลังลุกขึ้นสู้ของซีเรียและองค์การก่อการร้ายและกลุ่มหัวรุนแรงต่างๆเข้าร่วม ซึ่งได้ส่งผลให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตนับพันคน
การปะทะปาเลสไตน์ – อิสราเอลอาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ
นอกจากนี้ เหตุปะทะที่ยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอลได้ส่งผลเสียต่อภาพรวมสันติภาพของตะวันออกกลางในปี 2019 การที่ทางการสหรัฐมีก้าวเดินแบบ “ผลักดันการเผชิญหน้า” ระหว่างสองฝ่ายเช่น รับรองเมืองเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลและย้ายสถานทูตสหรัฐไปยังเยรูซาเลม ประกาศสนับสนุนทางการอิสราเอลในการก่อสร้างเขตตั้งถิ่นฐานของชาวยิวในเขตที่ยึดครองจากปาเลสไตน์ ส่งผลให้ความตึงเครียดทวีความรุนแรงในตลอดทั้งปี การโจมตีข้ามชายแดนระหว่างกลุ่มนักรบของปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่ากับกองทัพอิสราเอลได้มีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ภูมิภาคนี้ตกอยู่ในภาวะสงครามและความสูญเสีย
ส่วนประชามติในภูมิภาคและโลกได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความชะงักงันของกระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลาง โดยได้เรียกร้องหลายครั้งให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องใช้ความอดกลั้น ไม่ปฏิบัติก้าวเดินที่ทวีความตึงเครียดและพยายามปกป้องการเจรจาทุกครั้ง
ความตึงเครียดบริเวณช่องแคบฮอร์มุซที่อาจบานปลายกลายเป็นสงคราม
ในภาพรวมที่มืดมนของตะวันออกกลางในปี 2019 อีกเรื่องที่ต้องกล่าวถึงคือความตึงเครียดที่รุ่นแรงเป็นอย่างมากบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ โดยสหรัฐและอิร่านกำลังมีการปะทะทางทหารเมื่อวอชิงตันส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบิน Abraham Lincoln ไปยังเขตอ่าวในเดือนพฤษภาคม ส่วนอิหร่านได้ยิงเครื่องบินไร้คนขับมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐของกองทัพเรือสหรัฐตกเมื่อกลางเดือนมิถุนายน ส่งผลให้ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งทำการโจมตีทางอากาศใส่อิหร่านแต่ในท้ายที่สุดก็ได้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว ต่อจากนั้น อิหร่านยึดเรือบรรทุกน้ำมันต่างประเทศบริเวณช่องแคบฮอร์มุซโดยใช้ข้ออ้างต่างๆ
ความตึงเครียดบริเวณช่องแคบฮอร์มุซแสดงให้เห็นถึงการเผชิญหน้าด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ดุเดือดในเขตอ่าวระหว่างฝ่ายต่างๆในภูมิภาคและโลก สหรัฐและพันธมิตรซาอุดิอาระเบีย รวมทั้งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้กล่าวหาอิหร่านหลายครั้งว่า ได้ส่งทหารเข้าไปยังประเทศเยเมน ซีเรียและอิรักเพื่อแย่งชิงอิทธิพล ส่วนอิหร่านได้กล่าวว่า สหรัฐกำลังสร้างภัยคุกคามต่อสันติภาพในภูมิภาคเพราะได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินทิ้งระเบิดและยุทโธปกรณ์เข้ามายังเขตอ่าว แม้กระทั่ง เมื่อเร็วๆนี้อิหร่านก็ได้มีการประกาศว่า จะปฏิบัติก้าวเดินที่ 5 เพื่อลดคำมั่นในข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ได้ลงนามกับ 6 ประเทศมหาอำนาจเมื่อปี 2015 ถ้าหากบรรดาประเทศยุโรปที่เข้าร่วมข้อตกลงฉบับนี้ไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อธำรงข้อตกลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความตึงเครียดยากที่จะแก้ไขได้โดยเร็ว
แสงสว่างที่ริบหรี่
ในความมืดมนของตะวันออกกลาง ก็ยังคงมองเห็นแสงสว่างที่ริบหรี่อยู่ เช่น การลดความตึงเครียดด้านการทูตระหว่างกาตาร์กับซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรนและอียิปต์ โดยเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซาอุดิอาระเบียได้ส่งจดหมายเชิญกษัตริย์แห่งกาตาร์เข้าร่วมการประชุมครั้งที่ 40 ของสภาความร่วมมือเขตอ่าวหรือจีซีซีที่เมือง Ryadh ในวันที่ 10 ธันวาคม และเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกาตาร์ได้ประกาศว่า ได้ทำลายความชะงักงันที่ยืดเยื้อมานานกับซาอุดิอาระเบีย
นอกจากนี้ การต่อต้านกลุ่มรัฐอิสลามหรือไอเอสได้ประสบผลที่น่ายินดีต่างๆทั้งในประเทศซีเรียและอิรัก ซึ่งลดพื้นที่เคลื่อนไหวของกลุ่มไอเอสและเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม กองกำลังเฉพาะกิจของสหรัฐได้สังหารแกนนำสูงสุดของไอเอส Abu Bakr al Baghdadi ได้ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย
แต่อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังและความพยายามสร้างสรรค์สันติภาพยังคงได้รับความสนใจและการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่น่ายินดีในภาพรวมที่มืดมนของเขตตะวันออกกลางในปี 2019.