การปะทะระหว่างชาวปาเลสไตน์กับทหารอิสราเอลในเขตเหนือฉนวนกาซ่าเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนปี 2018 (THX) |
ถึงแม้ในปี 2018 กลุ่มรัฐอิสลาม หรือ ไอเอสในอิรักและซีเรียได้ถูกทำลาย แต่ ภาพรวมของตะวันออกกลางก็ยังคงมีความมืดมนมากกว่าความสดใส
บรรยากาศที่ร้อนระอุในภูมิภาค
ในปี 2018 การปะทะที่ยืดเยื้อมานานระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอลได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังจากที่สหรัฐประกาศรับรองเมืองเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นดินแดนที่อ่อนไหวระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอลเป็นนครหลวงของอิสราเอลและย้ายสถานทูตสหรัฐจากกรุงเทลอาวีฟไปยังเมืองเยรูซาเล็ม ซึ่งทำให้ชาวปาเลสไตน์ไม่พอใจและส่งผลกระทบในทางลบต่อการเจรจาเกี่ยวกับมาตรการ 2 รัฐคือปาเลสไตน์และอิสราเอลอยู่ร่วมกันอย่างสันติที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศ
สิ่งที่น่าเสียดายอีกก็คือ ปัญหาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านที่ดูเหมือนว่า ได้รับการแก้ไขแล้ว แต่กลับถูกใช้เป็นเหตุผลเพื่อให้สหรัฐฟื้นฟูมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านอีกครั้ง ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงต่างๆ ทั้งนี้ นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน”ของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ประธานาธิบดีสหรัฐได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอิร่านตกอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 10ปีเพราะทางการสหรัฐไม่เพียงแต่มีท่าทีที่แข็งกร้าวในการประกาศถอนตัวจากข้อตกลงด้านนิวเคลียร์กับอิหร่านเท่านั้น หากยังเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านอีกด้วยและถืออิหร่านเป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ระยะยาวของสหรัฐในตะวันออกกลาง ทำลายโครงสร้างความมั่นคงในภูมิภาคที่สหรัฐได้สร้างเอาไว้โดยอาศัยพันธมิตรต่างๆในภูมิภาค เช่น อิสราเอลและซาอุดิอาระเบีย ส่วนอิหร่านก็ยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อและไม่ยอมประนีประนอมแม้สหรัฐจะเพิ่มแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งข้อกล่าวหาและการโต้ตอบระหว่างกันอาจทำให้เกิดการปะทะครั้งใหม่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ในขณะเดียวกัน กระบวนการสันติภาพในซีเรียในปี 2018 ยังคงประสบความยากลำบาก ถึงแม้รัฐบาลซีเรียจะได้รับชัยชนะในสงครามเพื่อจัดระเบียบพื้นที่ต่างๆภายใต้การสนับสนุนจากรัสเซียและอิหร่าน แต่ก็มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปะทะต่างๆจำนวนมาก โดยองค์การ NGOของซีเรียและตุรกีได้รายงานว่า มีชาวซีเรียเสียชีวิตในปี 2018 ถึง 7 พันคน ซึ่งสูงกว่าปี 2017
ส่วนวิกฤตด้านมนุษยธรรมในเยเมนหลังสงครามกลางเมืองในตลอด 4 ปีก็ทำให้ภาพรวมของตะวันออกกลางมืดมนยิ่งขึ้น โดยมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายหมื่นคน ประชาชนหลายล้านคนต้องอพยพไปยังเขตที่ปลอดภัย ประชาชนเยเมน 22 ล้านคนจากทั้งหมด 25 ล้านคนต้องการความช่วยเหลือจากภายนอกและกำลังต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 100ปี แต่อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน ฝ่ายต่างๆยังไม่สามารถแสวงหามาตรการทางการเมืองที่สมบูรณ์เพื่อแก้ไขการปะทะและก็ยังไม่รู้เลยว่า อนาคตของประเทศนี้จะเป็นไปอย่างไร
ในสภาวการณ์ดังกล่าว ภูมิภาคตะวันออกกลางยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านความมั่นคง ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองและการเคลื่อนไหวของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง ซึ่งถือเป็นปัญหาที่สำคัญของภูมิภาคนี้ในปี 2018
สถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางในปี 2019 ยังไม่มีสัญญาณที่สดใส
ภูมิภาคตะวันออกกลางกำลังเผชิญกับอิทธิพลจากฝ่ายต่างๆทั้งภายในและนอกภูมิภาคและเป็นภูมิภาคที่มีความขัดแย้งเกี่ยวกับผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ ซึ่งถึงแม้กระบวนการสันติภาพในซีเรียกำลังมีสัญญาณที่สดใสหลังจากที่สหรัฐประกาศแผนการถอนทหารทั้งหมดออกจากซีเรีย แต่นี่มิใช่หมายความว่า สหรัฐจะยอมทิ้งผลประโยชน์ในตะวันออกกลางหากแต่เป็นการเปลี่ยนยุทธศาสตร์การแทรกแซงเท่านั้น ซึ่งการแทรกแซงของฝ่ายต่างๆด้วยจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันในซีเรียได้ส่งผลกระทบในทางลบต่ออนาคตทางการเมืองของซีเรีย ส่วนสำหรับการปะทะในเยเมน แม้ฝ่ายต่างๆจะตั้งความหวังเกี่ยวกับการเจรจาภายใต้การสนับสนุนของสหประชาชาติเมื่อเดือนธันวาคมปี 2018 แต่ในทางเป็นจริงก็เป็นการปรับเปลี่ยนฝ่ายที่เข้าร่วมการปะทะเท่านั้น ส่วนการแย่งชิงอิทธิพลระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคคือซาอุดิอาระเบียและอิหร่านก็เป็นปัญหาที่แก้ไขได้ไม่ง่ายในเวลาข้างหน้า
ทั้งนี้และทั้งนั้น อาจกล่าวได้ว่า สถานการณ์ภูมิภาคตะวันออกกลางในปี 2018 คือภาพรวมของความขัดแย้งต่างๆที่ยืดเยื้อและยังไม่มีแนวทางแก้ไขในขณะที่กระบวนการสันติภาพก็ยังไม่แล้วเสร็จ ในปี 2019 สถานการณ์ในภูมิภาคนี้ยังมีปัญหาต่างๆที่ยากที่จะคาดการณ์ได้เพราะประเทศมหาอำนาจยังคงแสวงหาวิธีการเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ของตนในภูมิภาคที่มีสถานะทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญนี้.