การส่งผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในประเทศจีน (THX) |
การเผชิญหน้าด้านการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนในเวลาที่ผ่านมากำลังมีสัญญาณที่ร้อนแรงอีกครั้งเนื่องจากเกี่ยวข้องถึงต้นตอของไวรัส SARS-CoV-2 ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การเผชิญหน้ายังบานปลายจากเรื่องการค้าและความมั่นคงไปยังด้านต่างๆ เช่นการเงินและเทคโนโลยี และไม่เพียงแต่ประเทศสหรัฐเท่านั้น หากหลายประเทศก็กำลังปฏิบัตินโยบาย “ที่ระมัดระวัง” กับทางการปักกิ่งมากขึ้น
ความเสี่ยงที่การปะทะระหว่างสหรัฐกับจีนจะขยายวงกว้าง
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม กระทรวงคมนาคมสหรัฐได้กล่าวหาจีนว่าขัดขวางการฟื้นฟูเส้นทางบินของสายการบินสหรัฐ 2 แห่งและเรียกร้องให้สายการบินจีน 4 แห่งต้องส่งกำหนดการบินและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ส่วนเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ระบุนิติบุคคล 9 แห่งของจีนเข้าใน “บัญชีดำ” ด้านเศรษฐกิจ โดยกลุ่มเป้าหมายที่ถูกระบุในบัญชีดำด้านเศรษฐกิจต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการเข้าถึงสินค้าของสหรัฐตามข้อกำหนดบริหารการส่งออก รวมทั้งต้องขอใบอนุญาตเพิ่มเติม โดยกลุ่มที่ถูกระยุในบัญชีดำนี้ สหรัฐอ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องถึง “กิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อและผลประโยชน์นโยบายด้านการต่างประเทศ” ของสหรัฐ นี่เป็น 2 การเคลื่อนไหวล่าสุดในปัญหาความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีน
ก่อนหน้านั้น เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐได้ประกาศว่า กำลังพิจารณาฟื้นฟูนโยบายเก็บภาษีเพื่อตอบโต้ทางการจีนเนื่องจากการแพร่ระบาดในปัจจุบันและขู่ว่าจะปฏิเสธข้อตกลงการค้าสหรัฐ-จีนระยะที่ 1
ความตึงเครียดยังบานปลายไปยังด้านการเงินและเทคโนโลยี โดยเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงได้ลดลงร้อยละ 5.6 ซึ่งต่ำที่สุดในรอบเกือบ 5 ปี โดยสาเหตุมาจากท่าทีของนักลงทุนหลังจากทางการปักกิ่งประกาศร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่สำหรับฮ่องกง โดยล่าสุด วุฒิสภาสหรัฐได้อนุมัติร่างกฎหมายที่ขัดขวางสถานประกอบการจีนไม่ให้จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐหรือระดมเงินลงทุนจากนักลงทุนสหรัฐ เว้นแต่บริษัทเหล่านี้จะปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรฐานการตรวจบัญชีของสหรัฐ
ในด้านเทคโนโลยี การแข่งขันระหว่างสหรัฐกับจีนอยู่ที่เรื่องเครือข่าย 5G ของกลุ่มบริษัท Huawei โดยฝ่ายสหรัฐได้ประกาศข้อจำกัดต่างๆต่อกลุ่มบริษัทแห่งนี้โดยให้เหตุผลด้านความมั่นคง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ประกาศว่า ผู้ผลิตชิป CPU ต่างประเทศที่ใช้เทคโนโลยีของสหรัฐต้องลงทะเบียนเพื่อขอใบอนุญาตก่อนขายชิป CPU ให้แก่กลุ่มบริษัท Huawei
โควิด-19 ทำให้หลายประเทศ “พิจารณา” ความสัมพันธ์กับจีน
ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนได้ทำให้พันธมิตรของสหรัฐพิจารณาเรื่องความสัมพันธ์กับจีน ถ้าเปรียบเทียบกับสงครามการค้า ดูเหมือนว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นโอกาสทำให้พันธมิตรของสหรัฐแสดงออกให้เห็นถึงทัศนะอย่างชัดเจนและจริงจังมากขึ้น โดยเฉพาะอังกฤษซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของสหรัฐ เมื่อเดือนเมษายนปี 2020 ส.ส หลายนายของอังกฤษได้เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีอังกฤษ บอริส จอห์นสัน ประเมินความสัมพันธ์กับจีนอีกครั้งหลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยุติลง รัฐบาลอังกฤษกำลังมีแผนการควบคุมหน่วยงานอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงของอังกฤษอย่างเข้มงวดมากขึ้น โดยเสนอแผนการเพื่อลดการเข้าร่วมของกลุ่มบริษัท Huawei ในการพัฒนาเครือข่ายโทรคมนาคม 5G ในอีก 3 ปีข้างหน้าในอังกฤษ การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้เป็นท่าทีล่าสุดที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ห่างกันมากขึ้นระหว่างทางการลอนดอนกับทางการปักกิ่ง โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ โดมินิก ราฟ ได้ประกาศยุติ “ความสัมพันธ์ที่เป็นปกติ” กับจีน
เช่นเดียวกับความสัมพันธ์กับอังกฤษ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับออสเตรเลียก็กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากหลังการแพร่ระบาด การที่ปักกิ่งปรับเพิ่มภาษีข้าวบาร์เลย์ที่นำเข้าจากออสเตรเลียเป็นร้อยละ 80 เป็นการตอบโต้ที่ทางการแคนเบอร์ราให้การสนับสนุนการตรวจสอบอย่างอิสระเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งการตอบโต้ระหว่างจีนกับออสเตรเลียยังคงดำเนินต่อไปและยังไม่มีสัญญาณที่จะคลี่คลายลง
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กำลังทำให้ความตึงเครียดที่คั่งค้างอยู่ระหว่างสหรัฐกับจีนมีความรุนแรงมากขึ้น และอาจเป็นชนวนของสงครามเย็นครั้งใหม่ การแพร่ระบาดยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับหุ้นส่วนที่สำคัญๆในเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน การกล่าวหากันระหว่างประเทศต่างๆอาจทำให้บรรยากาศระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้นยิ่งมีความซับซ้อนและไร้เสถียรภาพมากขึ้น.