เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 1945 กองกำลังของประชาชนเข้ายึดอำนาจทางการในกรุงฮานอย (daidoanket.vn) |
ในตลอด 77 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 1945 จนถึง 2022 เวียดนามได้เปลี่ยนสถานะจากประเทศที่ถูกกดขี่ขูดรีดกลายเป็นประเทศที่มีเอกภาพ มีเศรษฐกิจ สังคมและการทูตที่พัฒนา มีสถานะที่ชัดเจนบนเวทีระหว่างประเทศ และกำลังผสมผสานเข้ากับกระแสโลกที่กว้างลึกมากขึ้นในระยะพัฒนาใหม่
สร้างบรรยากาศระหว่างประเทศที่สะดวก
หลังการปฏิวัติเดือนสิงหาคมปี 1945 ประชาชนเวียดนามที่เคยอยู่ภายใต้แอกปกครองของประเทศล่าอาณานิคม ได้มีอิสระในการกำหนดอนาคตของตัวเอง ของประเทศรวมถึงมีเสรีภาพและเอกราช แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานั้นศักยภาพทางเศรษฐกิจและการทหารยังคงอ่อนแอ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังคงมีข้อจำกัด ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามที่นำโดยประธานโฮจิมินห์ได้ใช้การทูตเป็นอาวุธที่แหลมคมเพื่อปกป้องดอกผลของการปฏิวัติ ปกป้องทางการของประชาชน สนับสนุนกระบวนการต่อสู้กู้ชาติและสร้างชาติ
จากการใช้บทเรียนเกี่ยวกับการใช้โอกาสของการปฏิวัติเดือนสิงหาคม ในปัจจุบัน เวียดนามได้กำหนดว่า โลกาภิวัตน์เป็นแนวโน้มการพัฒนาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของโลก เป็นโอกาสที่ดีที่สุดเพื่อนำประเทศพัฒนาในทุกด้านตามแนวทางที่ทันสมัย ซึ่งปัจจุบัน เวียดนามได้ขยายและยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับทุกประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศใหญ่ๆ หุ้นส่วนที่สำคัญและเพื่อนมิตรเก่าแก่ โดยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับ 189 ประเทศจากจำนวนทั้งหมด 193 ประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ ส่วนในระดับพหุภาคี เวียดนามเป็นสมาชิกที่มีความกระตือรือร้นและมีความรับผิดชอบขององค์กรและฟอรั่มระหว่างประเทศที่สำคัญกว่า 70 แห่ง เช่น สหประชาชาติ อาเซียน เอเปก อาเซมและWTO
งานด้านการต่างประเทศขององค์กรพรรคและ รัฐ การทูตระดับประชาชนและของหน่วยงาน ท้องถิ่นและสถานประกอบการได้รับการขยายอย่างกว้างลึกมากขึ้นในเชิงรุก โดยพรรคคอมมิวนิสิต์เวียดนามได้มีความสัมพันธ์กับพรรคการเมือง 247 พรรคใน 111 ประเทศ สภาแห่งชาติมีความสัมพันธ์กับรัฐสภาของกว่า 140 ประเทศ และมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในฟอรั่มรัฐสภาระหว่างประเทศที่สำคัญ กิจกรรมด้านการต่างประเทศของรัฐบาลในด้านการเมือง กลาโหม ความมั่นคง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม-สังคมได้รับการส่งเสริมซึ่งมีส่วนร่วมต่อการผลักดันความไว้วางใจทางการเมืองและมีการผสานผลประโยชน์กับหุ้นส่วนต่างๆ ในการกล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมการต่างประเทศทั่วประเทศเมื่อเดือนธันวาคมปี 2021 เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เหงียนฟู้จ่อง ยืนยันว่า
“เวียดนามสามารถสร้างบรรยากาศระหว่างประเทศที่สะดวกและระดมแหล่งพลังจากภายนอกเพื่อผลักดันการพัฒนาเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัย พัฒนาจากประเทศที่มีเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ ถูกปิดล้อม โดดเดี่ยวและคว่ำบาตร มาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเชิงตลาดตามแนวทางสังคมนิยมที่มีการเชื่อมโยงที่กว้างขวาง เมื่อ 30 ปีก่อน เวียดนามมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ-การค้ากับเกือบ 30 ประเทศและดินแดนเท่านั้น แต่ขณะนี้ เวียดนามมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ-การค้ากับ 230 ประเทศและดินแดน ยอดมูลค่าการนำเข้าและส่งออกสูงกว่าประมาณ 120 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงปีแรกๆ ของยุคแห่งการปฏิบัติภารกิจการเปลี่ยนแปลงใหม่ เวียดนามสามารถดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ FDI ได้กว่า 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ”
เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เหงียนฟู้จ่อง กล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมงานด้านต่างประเทศทั่วประเทศเมื่อเดือนธันวาคม 2021 (VNA) |
มีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งต่อการรักษาสันติภาพและความร่วมมือเพื่อการพัฒนา
จากประเทศที่ถูกกดขี่ขูดรีด ภายหลัง 77 ปี สถานะและชื่อเสียงของเวียดนามในภูมิภาคและโลกได้รับการยกระดับให้สูงขึ้น มีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งและมีความรับผิดชอบต่อการรักษาสันติภาพ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาและความก้าวหน้าในโลก เวียดนามได้ประสบความสำเร็จในการจัดการประชุมระดับนานาชาติที่สำคัญหลายครั้งและเสร็จสิ้นหน้าระหว่างประเทศที่สำคัญๆในฐานะสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประธานหมุนเวียนของอาเซียน และประเทศเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอาเซม การประชุมสุดยอดเอเปกและฟอรั่มเศรษฐกิจโลกเกี่ยวกับอาเซียน เวียดนามได้ส่งเจ้าหน้าที่ทหารหลายร้อยนายเข้าร่วมกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในแอฟริกา ในปัญหาระหว่างประเทศที่สำคัญๆ เสียงพูดและความคิดริเริ่มของเวียดนามได้รับความเห็นพ้องและการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้สถานะและชื่อเสียงของเวียดนามได้รับการยกระดับให้สูงขึ้นบนเวทีระหว่างประเทศ ศาสตราจารย์ ดร. หวู มิง ยาง กล่าวว่า
“ไม่มีประเทศใดในโลกที่ถูกปกครองอย่างไม่เป็นธรรมและเผชิญความผันผวนอย่างซับซ้อน แต่ไม่เคยละทิ้งเป้าหมายเหมือนประชาชาติเวียดนาม ผ่านความยากลำบากมากมาย เวียดนามยังคงฟันฝ่าอุปสรรคและปัจจุบัน ก็กลายเป็นประเทศที่ได้รับความไว้วางใจในระดับโลก ด้วยปัจจัยเหล่านี้ การกล่าวถึงอนาคตของประชาชาติคือการกล่าวถึงโอกาสที่สดใสของประชาชาติเวียดนาม นี่ไม่ใช่เป็นแค่ความคาดหวัง หากเป็นเป้าหมายที่ชาวเวียดนามสามารถบรรลุได้”
นับตั้งแต่การยึดคืนอำนาจการปกครองเมื่อ 77 ปีก่อน ปัจจุบัน เวียดนามกำลังมุ่งสู่เป้าหมายแห่งความเจริญรุ่งเรืองภายในปี 2045 และคุณค่าของการปฏิวัติเดือนสิงหาคมก็คือแรงผลักดันและเป็นพื้นฐานเพื่อให้ประชาชนเวียดนามเดินหน้าต่อไปตามเส้นทางที่เลือกเฟ้น.