ความตึงเครียดในซูดานยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุด

Anh Huyen –VOV5
Chia sẻ
(VOVworld)- ความตึงเครียดระหว่างซูดานเหนือและซูดานใต้กำลังทวีความรุนแรงขึ้นจนทำให้ประชามติโลกแสดงความเป็นห่วงว่า ถ้าหากความขัดแย้งต่างๆไม่สามารถแก้ไขลงได้ก็จะทำให้ทั้งสองฝ่ายตกเข้าสู่ภาวะสงครามในทุกด้าน
(VOVworld)- ความตึงเครียดระหว่างซูดานเหนือและซูดานใต้กำลังทวีความรุนแรงขึ้นจนทำให้ประชามติโลกแสดงความเป็นห่วงว่า ถ้าหากความขัดแย้งต่างๆไม่สามารถแก้ไขลงได้ก็จะทำให้ทั้งสองฝ่ายตกเข้าสู่ภาวะสงครามในทุกด้าน
ความตึงเครียดในซูดานยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุด - ảnh 1
ตำรวจและกองทัพซูดานเตรียมความพร้อมรักษาความมั่นคงใน Khartoum (BBC)

เหตุการณ์ล่าสุดในสถานการณ์ความตึงเครียดนั้นคือการที่ซูดานเหนือได้ระงับทุกการเจรจาในการแสวงหาข้อยุติต่อการชำระค่าน้ำมันและข้อพิพาทอื่นๆกับซูดานใต้หลังจากที่เกิดการปะทะในเขตชายแดนที่มีการผลิตน้ำมัน ซึ่งในแถลงการณ์เมื่อวันที่11เมษายน Khartoum ได้ประกาศว่าจะถอนคณะเจรจาออกจากการเจรจาโดยสหภาพอัฟริกาเป็นเจ้าภาพที่จัดขึ้น ณ กรุงแอดดิสอาบานา ประเทศเอธิโอเปียรวมทั้งประกาศระดมกำลังทหาร ก่อนหน้านั้น ทหารกองกำลังปลดปล่อยประชาชนซูดานของซูดานใต้ได้เปิดการโจมตีครั้งใหญ่ใส่เขตผลิตน้ำมัน Heglig ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันใหญ่ที่สุดในซูดานที่มีกำลังการผลิตคิดเป็นร้อยละ50ของประเทศโดยอ้างเหตุผลว่าเป็นการป้องกันตนเอง ซึ่งตามการกล่าวหาของทางการจูบา กองกำลังซูดานใต้ได้ใช้เครื่องบินรบและปืนใหญ่ในการโจมตีครั้งนี้  ในขณะเดียวกันเมื่อต้นเดือนเมษายนฝ่ายซูดานใต้ก็ได้กล่าวหาซูดานเหนือว่าทำการทิ้งระเบิดลงเขตชายแดนที่เป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่กำลังมีการพิพาทกันรวมทั้งเผยว่าสามารถยิงเครื่องบินทิ้งระเบิดได้1ลำ ส่วนทางด้านประชามติได้แสดงความเห็นว่าปฏิบัติการที่มีลักษณะละเมิดของทั้งสองฝ่ายได้ทำลายข้อตกลงหยุดยิงที่ได้ลงนามเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รวมทั้งทำลายความพยายามของอดีตประธานาธิบดีอัฟริกาใต้ Thabo Mbeki ผู้นำกลุ่มไกล่เกลี่ยของสหภาพอัฟริกา  ซึ่งหลังจากที่แผนการเจรจาระหว่างซูดานเหนือกับซูดานใต้ ณ เอธิโอเปียประสบความล้มเหล็ว คณะคนกลางไกล่เกลี่ยของสหภาพอัฟริกาก็ได้มีการหารือกับประธานาธิบดีซูดานใต้ Salva Kiir และประธานาธิบดีซูดานเหนือ Omar al-Bashir  เพื่อหารือมาตรการที่อาจจะปฏิบัติได้เพื่อลดความร้อนแรงของสถานการณ์และความพยายามทางการทูตนี้ก็สามารถประสบผลในการรื้อฟื้นการพบปะระดับสูงระหว่างสองฝ่าย แต่การปะทะที่เพิ่งเกิดขึ้นตามแนวชายแดนนั้นก็ได้คุกคามต่อความหวังในสันติภาพและการแสวงหามาตรการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ โดยสหภาพอัฟริกาได้เสนอข้อคิดใหม่ที่เกี่ยวข้องกับทั้งเรื่องการเมือง การทหาร ความมั่นคงและโทรคมนาคมแต่ต้องมีการพิจารณาและทาบทามในทุกด้านเพื่อการเข้าร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในขณะเดียวกันนักเจรจาของซูดานใต้ Pagan Amum ได้แสดงความเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายยังไม่พร้อมให้แก่การเจรจาและตำหนิการที่ซูดานเหนือถอนคณะเจรจาและไม่อยากลงนามข้อตกลงกับฝ่ายซูดานใต้

ความตึงเครียดในซูดานยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุด - ảnh 2
อดีตประธานาธิบดีอัฟริกาใต้ Thabo Mbeki ผู้นำกลุ่มไกล่เกลี่ยของสหภาพอัฟริกา กล่าวปราศรัยในการแถลงข่าว ณ  Khartoum เมื่อวันที่6เมษายน (AFP)

ในทางเป็นจริง นับตั้งแต่ที่ซูดานใต้ประกาศเอกราชเมื่อเดือนกรกฎาคมปี2011ทั้งสองประเทศก็ยังมีความขัดแย้งกันในหลายปัญหาโดยเฉพาะการแบ่งพรมแดนและผลประโยชน์ด้านน้ำมัน ซึ่งตามการคำนวนนั้น ปริมาณน้ำมันของซูดานมีมากเป็นอันดับต้นๆในอัฟริกาและรายได้จากการค้าน้ำมันคิดเป็นร้อยละ68ของรายรับงบประมาณในภาคหนือและร้อยละ98ของภาคใต้ แต่ถึงแม้ภาคใต้จะครอบครองแหล่งน้ำมันที่ใหญ่กว่าแต่ภาคเหนือเป็นฝ่ายบริหารท่อส่งน้ำมันที่ใช้ในการส่งออกน้ำมันดิบไปยังประเทศต่างๆผ่านทะเลแดง  ตามข้อตกลงสันติภาพที่ลงนามระหว่างสองฝ่ายเมื่อปี2005 แหล่งประโยชน์จากน้ำมันจะแบ่งให้ฝ่ายละ50 แต่หลังจากแยกตัวเป็นอิสระเจ้าหน้าที่ฝ่ายซูดานใต้ก็มีความประสงค์ที่จะเปลี่ยนรูปแบบการแบ่งปันนี้ด้วยการจ่ายค่าบริการในการใช้โครงสร้างพื้นฐานในภาคเหนือและเพื่อที่จะไม่ต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานในซูดานเหนือ ซูดานใต้ก็ได้พิจารณาการก่อสร้างท่อส่งน้ำมันใหม่ไปยังเมืองทะเล Mombasa ประเทศเคนย่า ซึ่งจะทำให้ซูดานเหนือต้องสูญเสียแหล่งรายได้คิดเป็นหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ  ในเวลาที่ผ่านมา ท้องถิ่นต่างๆตามแนวชายแดนเช่น Kordofan  Blue Nileหรือ Unity เป็นต้นก็มักจะเกิดการปะทะระหว่างกองทัพซูดานเหนือกับกลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากซูดานใต้และได้มีการระดมเครื่องบิน รถถังกับปืนใหญ่ในการปะทะครั้งต่างๆจนสร้างความกังวลให้แก่ประชามติ โดยนายบันคีมุน เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติได้เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายถอนกำลังออกจากเขตพิพาท ส่วนสหรัฐเสนอให้ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้นและยุติการปะทะเพื่อความปลอดภัยของประชาชนและเมื่อต้นเดือนนี้ วอชิงตันก็ได้ให้การช่วยเหลือเงิน26ล้านเหรียญสหรัฐแก่ผู้อพยพกว่า1แสน4หมื่นคนในซูดาน

ปัจจุบัน ทั้งสองประเทศดังกล่าวยังไม่สามารถแสวงหาเสียงพูดเดียวกันเพื่อที่จะแก้ไขความขัดแย้งได้และต้องการความช่วยเหลือจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยประชามติเป็นห่วงว่า หากการปะทะได้ทวียิ่งขึ้นต่อไป นอกจากที่ทั้งซูดานเหนือและซูดานใต้จะไม่ได้รับประโยชน์จากน้ำมันแล้ว เศรษฐกิจก็จะตกเข้าสู่ภาวะชงักงันและถดถอยลงไปอีกและจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน./.


Komentar