ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป และประธานประเทศจีน สีจิ้นผิง (AFP) |
เมื่อเช้าวันที่ 19 มิถุนายนตามเวลาเวียดนาม ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศว่า ต้องมีปฏิบัติการต่อไปเพื่อโน้มน้าวให้จีนเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดที่ไม่มียุติธรรม เปิดตลาดให้แก่สินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐและยอมรับความสัมพันธ์ด้านการค้าที่สมดุลมากขึ้นกับสหรัฐ อีกทั้งเผยว่า ตนได้สั่งให้ตัวแทนการค้าของสหรัฐกำหนดสินค้าของจีนที่ต้องเก็บภาษีใหม่ นี่คือการกระทำเพื่อตอบโต้จีนที่ปรับขึ้นภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐ รวมมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
การกระทำที่ตรงกันข้าม
เมื่อเกือบ 1 เดือนก่อน หลังการเจรจาที่ตึงเครียดหลายครั้ง ณ กรุงปักกิ่งและกรุงวอชิงตัน เจ้าหน้าที่การค้าของทั้งสองประเทศได้ออกแถลงการณ์ร่วม โดยยืนยันว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความจำเป็นที่ต้องปฏิบัติมาตรการต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดการเสียเปรียบดุลการค้าทุกปีของสหรัฐต่อจีนที่สูงถึงกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ 2 เศรษฐกิจรายใหญ่ที่สุดของโลกจะแสวงหามาตรการแก้ไขความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการค้าในเชิงรุก ซึ่งทางการของทั้งสองประเทศและนานาชาติต่างโล่งอกหลังแถลงการณ์ดังกล่าว แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
ภายหลัง 1 สัปดาห์หลังจากแถลงการณ์ได้รับการอนุมัติ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศว่า จะเก็บภาษีคว่ำบาตร 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีน และจำกัดการลงทุนของจีนในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของสหรัฐ รวมทั้งเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องถึงยุทธศาสตร์ “ Made in China 2025” ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลจีนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีเชิงยุทธศาสตร์ภายในประเทศ
ต่อจากนั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้เริ่มกระบวนการสืบสวนต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีน ด้วยข้อกล่าวหาว่า ผู้ผลิตถัง propan เหล็กขายทุ่มตลาด และได้รับการอุปถัมภ์อย่างไม่ยุติธรรม วอชิงตันยืนยันว่า การกระทำดังกล่าวคือก้าวเดินส่วนหนึ่งเพื่อคุ้มครองเทคโนโลยีภายในประเทศและทรัพย์สินทางปัญญาจากพฤติกรรมเลือกปฏิบัติและภาระทางการค้าจากจีน
ส่วนทางฝ่ายจีนนั้นแน่นอนว่าไม่สามารถนิ่งเฉยต่อการเคลื่อนไหวของสหรัฐ โดยได้ประกาศเก็บภาษีต่อสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่คือสินค้าการเกษตร ปลาและยานพาหนะ รวมมูลค่า 5หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในภาพรวม การที่ทางการสหรัฐทำลายความเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ที่ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุที่กรุงวอชิงตันเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาได้สร้างความสับสนให้แก่จีนและนักลงทุนต่างประเทศ ส่วนนักวิเคราะห์ได้แสดงความเห็นว่า กำลังเกิดความขัดแย้งในสหรัฐเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อจีนในเรื่องการค้า
นักลงทุนของทั้งสองประเทศแสดงความวิตกกังวล
ในทางเป็นจริง เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐและจีนต่างพึ่งพากัน ดังนั้นสหรัฐจึงมีวิธีการไม่มากนักเพื่อขัดขวางจีนโดยที่ตนไม่ได้รับความเสียหาย กลุ่มบริษัท Cargill ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนด้านการเกษตรรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐได้เรียกร้องให้วอชิงตันและปักกิ่งสนทนากันเพื่อให้สถานประกอบการ เกษตรกรและผู้บริโภคไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ส่วนโฆษกของกลุ่มบริษัท Archer Daniels Midland ที่ประกอบธุรกิจในด้านผลิตภัณฑ์เกษตรได้แสดงความเห็นว่า ทั้งสองประเทศควรยืนหยัดการสนทนาทวิภาคีและย้ำว่า จีน “ยังคงเป็นตลาดส่งออกสำคัญของสินค้าเกษตรสหรัฐ”
ในขณะเดียวกัน บริษัทใหญ่ๆบางแห่งของสหรัฐ เช่น Boeing ได้เริ่มประเมินผลกระทบจากมาตรการเก็บภาษีของจีน โดยยอดรายได้ทั้งหมดในปี 2017 เป็นรายได้จากจีนร้อยละ 12.8 และ Boeing คือหนึ่งในบริษัทข้ามชาติของสหรัฐที่ได้รับผลกระทบง่ายที่สุดจากสงครามการค้า สมาพันธ์สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปและรองเท้าสหรัฐหรือเอเอเอฟเอได้เตือนว่า มาตรการตอบโต้ของจีนสามารถสร้างผลกระทบต่อเกษตรกรของสหรัฐและผู้ผลิตสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ตลอดจนเพิ่มค่าใช้จ่ายให้แก่ห่วงโซ่จัดสรรของหน่วยงานอุตสาหกรรมนี้ ประธานเอเอเอฟเอ Rich Helfenbein ได้แสดงความเห็นว่า รัฐสภาต้องเข้ามาแทรกแซงเพื่อยุติ “ความวิตกังวลที่อันตรายนี้”
นับตั้งแต่ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้มุ่งมั่นปรับความสัมพันธ์ด้านการค้ากับจีนให้มีความเสมอภาคและเอื้อหนุนกันได้ ผ่านการใช้นโยบายด้านภาษี แต่จนถึงขณะนี้ มาตรการนี้ยังไม่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากจีน ดังนั้นดูเหมือนว่า นี่ไม่ใช่วิธีการเข้าถึงที่มีประสิทธิภาพที่สุดให้แก่ปัญหาการเสียเปรียบดุลการค้ากับจีน เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ทั้งสหรัฐและจีนต้องเปิดโอกาสให้แก่การเจรจาการค้าเพื่อแสวงหามาตรการที่สามารถสนับสนุนให้แก่เป้าหมายของแต่ละฝ่าย.