เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำเวียดนาม Daniel J.Kritenbrink จุดธูปที่สุสานทหารพลีชีพเพื่อชาติเจื่องเซิน |
บนเส้นทางแห่งการพัฒนาความสัมพันธ์เวียดนาม-สหรัฐ การแก้ไขผลเสียหายจากสงครามนั้นไม่เพียงแต่เป็นภาระหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาลเท่านั้นหากยังรวมถึงความพยายามและความทุ่มเทของนักการทูต นักการเมืองและประชาชนทั้งสองประเทศอีกด้วย
สะพานเชื่อมเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี
นาย Mathew Reenan เป็นหนึ่งในทหารผ่านศึกสหรัฐที่เคยเข้าร่วมสงครามเวียดนาม ซึ่งนับตั้งแต่ที่ทั้งสองประเทศปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติเมื่อปี 1995 เขาได้มีความประสงค์ว่า จะกลับมาเยือนนครดานัง ซึ่งเป็นสมรภูมิที่เขาเคยร่วมสู้รบในสมัยสงครามและเมื่อปี 2015 ความฝันของนาย Mathew Reenan ได้กลายเป็นความจริง และเมื่อได้กลับมาเยือนดานัง ทุกกิจกรรมที่เขาเข้าร่วมล้วนเป็นความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือนโดยเฉพาะการเยือนศูนย์ดูแลเด็กของสมาคมผู้เคราะห์ร้ายจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินนครดานัง
“ผมเคยอยู่ที่นครดานังในช่วงสงครามและผมอยากกลับมาที่เมืองแห่งนี้ ผมมีโอกาสมาเยือนศูนย์ดูแลเด็กที่ได้รับผลกระทบจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซิน เมื่อพบปะกับชาวเวียดนาม ผมรู้สึกว่า ชาวเวียดนามเป็นมิตรและไม่มีความโกรธแค้น เมื่อขึ้นเครื่องบินกลับประเทศ ผมบอกกับตัวเองว่า ผมจะต้องกลับมาที่นี่อีก”
ในตลอด 4 ปีที่ผ่านมา นาย Mathew Reenan กลับมาเยือนเวียดนามปีละ 2 ครั้งและเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาในศูนย์ดูแลผู้ด้อยโอกาสต่างๆของสมาคมผู้เคราะห์ร้ายจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินนครดานังโดยเขาเผยว่า จะพยายามทำกิจกรรมจิตอาสานี้อย่างเต็มที่จนกว่าจะไม่สามารถทำได้
ด้วยความประสงค์ในการช่วยแบ่งเบาความปวดร้าวจากสงครามในความสัมพันธ์เวียดนาม-สหรัฐ ในตลอด 15 ปีที่ผ่านมา นาง เหงวียนทูถาว อดีตหัวหน้ากองทุนทหารผ่านศึกสหรัฐในเวียดนามคนแรกที่ได้ทุ่มเทเป็นอย่างมากกับกระบวนการรณรงค์เพื่อการลงนามข้อตกลงความร่วมมือเกี่ยวกับการแก้ไขผลเสียหายจากกับระเบิดฉบับแรกเมื่อปี 2003 รณรงค์ให้ส.ส.สหรัฐสนับสนุนเพื่อให้รัฐสภาและรัฐบาลสหรัฐยอมรับการแก้ไขปัญหาสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินในเวียดนามเมื่อปี 2008 นาง เหงวียนทูถาวเห็นว่า การตัดสินใจต่างๆของฝ่ายสหรัฐสร้างพื้นฐานให้แก่ความร่วมมือในระยะยาวระหว่างเวียดนามกับสหรัฐในการแก้ไขผลเสียหายจากสงคราม
“ เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2007 ประธานาธิบดี จอร์จบุชได้อนุมัติกฤษฎีกาเกี่ยวกับงบประมาณเพิ่มเติม มูลค่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่การแก้ไขปัญหาสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินในเวียดนาม แม้จำนวนเงินดังกล่าวไม่มากแต่ก็มีความหมายสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายของสหรัฐต่อเวียดนามหากยังสะท้อนอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลสหรัฐยอมมีความรับผิดชอบด้านมนุษยธรรม จากนั้นจึงมีการจัดสรรค์แหล่งงบเฉพาะต่อปัญหานี้”
ในเวลาที่ผ่านมา สหรัฐได้สงวนเงินจำนวนกว่า 105 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อช่วยเหลือเวียดนามในการเก็บกู้กับระเบิดและวัตถุระเบิดที่หลงเหลือหลังสงคราม ทำการฝึกอบรมและจัดสรรแหล่งพลังต่างๆให้แก่ทีมเก็บกู้กับระเบิดของเวียดนาม ให้ความช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายและครอบครัวของพวกเขา ยกระดับจิตสำนึกเกี่ยวกับความสี่ยงจากกับระเบิดในเขตที่มีความเสี่ยงสูง เมื่อปี 2018 สหรัฐได้เสร็จสิ้นโครงการการชะล้างสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินในพื้นที่ 1 แสนตารางเมตรในสนามบินดานังภายหลังปฏิบัติมาเป็นเวลา 6 ปี รวมยอดเงินทุน 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปีที่แล้ว สหรัฐได้ปฏิบัติโครงการชะล้างสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินในสนามบินเบียนหว่าที่มีพื้นที่ที่ปนเปื้อนสารพิษสีส้ม สูงกว่า 4 เท่าเมื่อเทียบกับที่สนามบินดานัง
ในความพยายามร่วมมือเพื่อสมานแผลสงคราม เมื่อปี 2019 เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำเวียดนาม Daniel J.Kritenbrink ได้เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐคนแรกที่เดินทางไปเยือนสุสานทหารพลีชีพเพื่อชาติเจื่องเซินในจังหวัดกว๋างจิ ที่ฝังศพของทหารพลีชีพเวียดนามกว่า 1 หมื่นนาย ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเคารพความจริงในอดีต ความปรารถนาในการปิดฉากอดีตและมุ่งสู่อนาคต
นาย Timothy Rieser ที่ปรึกษาระดับสูงของคณะกรรมาธิการอนุมัติรายจ่ายงบประมาณแห่งวุฒิสภาสหรัฐ (Photo: TTXVN) |
เสาหลักที่สำคัญของความสัมพันธ์ทวิภาคี
เวียดนามและสหรัฐได้บรรลุความคืบหน้าในด้านความร่วมมือเกี่ยวกับการแก้ไขผลเสียหายจากสงคราม ซึ่งความร่วมมือระหว่างสองประเทศในด้านนี้ได้สร้างคุณค่าร่วม กลายเป็นสะพานเชื่อมเพื่อส่งเสริมความใกล้ชิดระหว่างสองประเทศและจนถึงขณะนี้ ความร่วมมือในด้านนี้ยังคงเป็นจุดเด่นในความสัมพันธ์ทวิภาคี ในกรอบการเยือนเวียดนาม เมื่อปี 2019 นาง Bonnie Glick รองผู้อำนวยการสำนักงานการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐหรือ USAID ได้ประเมินว่า ความร่วมมือในการแก้ไขผลเสียหายจากสงครามเป็นเสาหลักที่สำคัญของความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านระหว่างเวียดนามกับสหรัฐ
ส่วนนาย Timothy Rieser ที่ปรึกษาระดับสูงของคณะกรรมาธิการอนุมัติรายจ่ายงบประมาณแห่งวุฒิสภาสหรัฐได้เผยว่า ในเวลาที่จะถึง สหรัฐจะสงวนวงเงิน มูลค่า 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่โครงการ MIAที่ช่วยเหลือเวียดนามในการค้นหาอัฐิทหารที่สูญหายในสงคราม ซึ่งถือเป็นโครงการที่มีความหมายที่สุดของสหรัฐในกระบวนการแก้ไขผลเสียหายจากสงครามกับเวียดนาม
การที่เวียดนามและสหรัฐเดินพร้อมในการแก้ไขผลเสียหายจากสงครามไม่เพียงแต่เป็นการสร้างพลังเพื่อสมานบาดแผลของอดีตเท่านั้นหากยังช่วยเปิดโอกาสความร่วมมืออีกมากในด้านความมั่นคง การศึกษา วิทยาศาสตร์ เศรษฐกิจและการค้า อันเป็นการมีส่วนร่วมนำความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านเวียดนาม-สหรัฐพัฒนาเข้มแข็งยิ่งขึ้น.