(VOVworld) – เพื่อบรรลุเป้าหมายเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัยในปี 2020 นอกจากความพยายามของตนเองแล้ว เวียดนามยังต้องการความช่วยเหลือจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความช่วยเหลือจากองค์การเอ็นจีโอต่างประเทศ ซึ่ง องค์การเหล่านี้ได้ให้คำมั่นว่า จะให้การช่วยเหลือเวียดนามพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป โดยเฉพาะให้การช่วยเหลือผู้ยากจนและผู้ด้อยโอกาสในสังคม
ใน 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนองค์การเอ็นจีโอในเวียดนามได้เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าพร้อมเงินช่วยเหลือที่เพิ่มขึ้นสามเท่า ซึ่งครอบคลุมในหลายด้านที่เป็นรูปธรรมและมีความหมายต่อภารกิจการแก้ปัญหาความยากจนและการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของเวียดนาม
นายแอนดี บาเกอร์ ผู้อำนวยการองค์กรออสฟามประจำเวียดนาม
โครงการที่เป็นรูปธรรมในเวียดนาม
ออสฟาม เป็นหนึ่งในองค์กรเอ็นจีโอกลุ่มแรกที่เข้ามาดำเนินโครงการในเวียดนามและประกอบกิจกรรมในด้านการพัฒนาชนบท ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ จากเป้าหมายว่า “ประชาชนเวียดนามทุกคน โดยเฉพาะสตรีจะได้รับโอกาสพัฒนา” ในหลายปีที่ผ่านมา ออสฟามได้หารือกับหุ้นส่วนในท้องถิ่นต่างๆของเวียดนาม โดยเฉพาะให้ความสนใจต่อคนยากจนและชนกลุ่มน้อยผ่านรูปแบบการพัฒนาอาชีพและการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและการลดภัยธรรมชาติ นายแอนดี บาเกอร์ ผู้อำนวยการองค์กรออสฟามประจำเวียดนามเผยว่า “
พวกเราให้คำมั่นว่า จะให้การช่วยเหลือโดยตรงหรือผ่านโครงการต่างๆต่อไปเพื่อช่วยให้ชีวิตของคนจนโดยเฉพาะคนจนในเขตทุรกันดาร เขตห่างไกลความเจริญและเขตที่มักเผชิญกับภัยธรรมชาติให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ยุทธศาสตร์ในอนาคตของเราจะเน้นใน 4 ประเด็นคือ พัฒนาอาชีพในเขตชนบท ยกระดับทักษะความสามารถของชุมชนเพื่อรับมือกับผลกระทบในทางลบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ เพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัว พร้อมที่จะรับมือกับภัยธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ”
นาย Gunnar F. Andersen ผู้อำนวยการองค์กร Save The chidren
สำหรับองค์กรสงเคราะห์เด็กหรือ Save The Chidren ที่ได้เข้ามาเวียดนามนับตั้งแต่ช่วงปี 90 ก็ได้ทำงานในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ การศึกษา โภชนาการ การช่วยเหลือฉุกเฉินและเมื่อเร็วๆนี้ก็ได้เน้นทำงานเพื่อเด็กๆเวียดนาม โดยในสองปีที่ผ่านมา ได้เกิดพายุพัดถล่มเขตภาคกลางเวียดนามอย่างต่อเนื่อง องค์กร Save The chidren ก็เป็นหนึ่งในองค์กรที่ให้การช่วยเหลืออย่างทันการณ์และมีประสิทธิภาพ นาย Gunnar F. Andersen ผู้อำนวยการองค์กร Save The chidren เผยว่า เป้าหมายและหน้าที่ที่ได้รับความสนใจเป็นอันดับต้นๆขององค์กรคือการช่วยเหลือมนุษยธรรม ช่วยเหลือเด็กๆและครอบครัวแก้ไขผลเสียหายจากภัยธรรมชาติเพื่อให้กลับไปใช้ชีวิตได้ตามปรกติโดยเร็ว นาย Gunnar F. Andersen เผยว่า “
ในเวลาข้างหน้า พวกเรายังคงเน้นความสนใจถึงกลุ่มเด็กๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะเด็กๆในเขตทุรกันดารและห่างไกลความเจริญ การพัฒนาของเศรษฐกิจเวียดนามในเวลาที่ผ่านมาได้ทำให้เกิดปัญหาการพัฒนาเป็นเขตตัวเมืองอย่างรวดเร็วที่นำมาซึ่งความท้าทายไม่น้อย ดังนั้นผมคิดว่า นี่จะเป็นด้านที่เราต้องให้ความสนใจในเวลาที่จะถึงโดยจะร่วมมือกับรัฐบาลเวียดนามเพื่อให้โครงการต่างๆมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ส่วนองค์กร Plan International ซึ่งเป็นองค์กรมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่เข้ามาปฏิบัติกิจกรรมในประเทศเวียดนามตั้งแต่ปี 1993 ได้ตั้งเป้าไว้ว่า ในเวลาที่จะถึง ทางองค์กรจะให้การช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสทั่วประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะเด็กชนกลุ่มน้อยในเขตเขาและส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ
นาย Glenn Gibney ผู้อำนวยการองค์กร Plan International ประจำเวียดนาม
นาย Glenn Gibney ผู้อำนวยการองค์กร Plan International ประจำเวียดนามกล่าวว่า “
ปัจจุบัน พวกเรากำลังปฏิบัติโครงการใน 10 จังหวัดและนครของเวียดนามโดยเน้นโครงการยกระดับการช่วยเหลือตามสิทธิของเด็กๆให้แก่เยาวชนและยุวชน ใน 10 จังหวัดและนครนั้น ฮานอยเป็นท้องถิ่นที่เรากำลังจัดโครงการส่งเสริมสิทธิของเด็กผู้หญิงและผู้ที่ถูกกระทำทารุณ โดยเฉพาะพวกเรากำลังปฏิบัติโครงการต่างๆในเขตทุรกันดารและห่างไกลความเจริญโดยเงินช่วยเหลือของเราร้อยละ 80 ได้จัดสรรโดยตรงให้แก่ผู้ที่อยู่ในเป้าหมายโครงการ”
เพื่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน
จากที่เคยเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก ปัจจุบัน เวียดนามได้กลายเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง พร้อมทั้งได้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ 5 เป้าหมายจากทั้งหมด 8 เป้าหมายและจะเสร็จสิ้นการปฏิบัติทั้งหมดในปี 2015 ซึ่งผลสำเร็จดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากความช่วยเหลือขององค์กรเอ็นจีโอต่างประเทศและเพื่อนมิตชาวต่างชาติ พร้อมกับเงินช่วยเหลือโอดีเอที่นักอุปถัมภ์ระหว่างประเทศจัดสรรให้แก่เวียดนามในตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีส่วนร่วมต่อการยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของเวียดนาม
แต่อย่างไรก็ตาม บนเส้นทางแห่งการพัฒนา เพื่อกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัยในปี 2020 เวียดนามจะต้องรับมือกับความท้าทายนานัปการทั้งปัญหาช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างท้องถิ่น อัตราคนจนในเขตทุรกันดารและเขตห่างไกลความเจริญที่ยังคงอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ผลเสียหายจากสงคราม เช่น ระเบิดที่หลงเหลืออยู่ ผู้เคราะห์ร้ายจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินและยิ่งไปกว่านั้นคือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะเป็นความท้าทายที่เวียดนามต้องฟันฝ่าต่อไป ดังนั้น คำมั่นที่จะก้าวเดินไปพร้อมกับเวียดนามของนักอุปถัมภ์และองค์กรเอ็นจีโอจะเป็นแหล่งพลังที่สำคัญที่จะช่วยให้เวียดนามบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนเร็วขึ้น./.