วีรบุรุษ ฝ่ามมิงห์หญ๊าม ในสนามรบที่ประเทศลาว |
“เมื่อเป็นทหารและได้รับมอบหมายหน้าที่ ก็ต้องปฏิบัติให้สำเร็จ ถึงแม้ต้องฝ่าฟันความยากลำบากและอุปสรรคมากมาย แต่ทุกคนต่างก็รู้สึกมีความสุขและที่สำคัญคือมีความมุ่งมั่นตั้งใจ พวกเราต่างให้ความรักใคร่ ความห่วงใยและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพื่อเสร็จสิ้นภารกิจที่ได้รับมอบหมายและนำชัยชนะอันรุ่งโรจน์กลับสู่ปิตุภูมิ”
“การต่อสู้และเสียสละเลือดเนื้อไม่ว่าเกิดขึ้นที่ไหนจะในประเทศลาวหรือเวียดนามก็เหมือนกัน ”
คำพูดเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงจิตใจอันแข็งแกร่งและความแน่วแน่ของเหล่าทหารที่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคุณค่าแห่งแนวคิดและคุณธรรมของประธานโฮจิมินห์ เช่น เวลาปฏิบัติงานในประเทศลาวก็ต้องให้ความเคารพเพื่อนบ้าน ให้ความช่วยเหลือเพื่อนบ้านก็เหมือนช่วยเหลือตัวเราเอง ถือคนลาวเป็นเพื่อนร่วมชาติ รักภูเขาแม่น้ำ ทุ่งนาและพืชพรรณธรรมชาติของลาวเหมือนที่เรารู้สึกกับบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ฉะนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่และทหารเวียดนามจึงได้ใช้ชีวิตกับประชาชนและมีความร่วมมือกับบรรดาเจ้าหน้าที่ทหารลาวอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะมีทหารจำนวนไม่น้อยที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ประเทศลาวตอนล่างได้นุ่งผ้าเตี่ยว ไว้ผมยาว และเป็นหนึ่งเดียวกับคนในพื้นที่ เพื่อทำการรณรงค์มวลชน ซึ่งรวมถึงทหารดีเด่นอย่างนาย เลเถี่ยวฮวี ที่ยอมเอาตัวเข้าปกป้องเจ้าสุภานุวงศ์จากกระสุนปืนในศึกท่าแขกเมื่อปี 1946 หรือวีรกรรมของพลขับรถถัง เหงวียนวัยหญา ที่สนามรบเชียงขวาง เป็นต้น
“พวกเราทุกคนต่างตั้งปณิธานว่าเมื่อไปรบก็ต้องทำอย่างเต็มที่และรอดกลับมาให้ได้”
นาย เหงวียนวัยหญา |
ด้วยปณิธานดังกล่าวได้ช่วยให้นาย เหงวียนวัยหญา สามารถเอาตัวรอดได้ถึงสองครั้ง โดยเขาเล่าให้ฟังว่า ก่อนการรบที่สำคัญในวันที่ 26 ตุลาคม 1972 ในยุทธนาการณ์ฤดูฝนปี 1972 รอบที่ 3 ทางกองทัพได้จัดพิธียามเกียรติยศศพทหารให้เขาและเพื่อนทหารอีกคนหนึ่งล่วงหน้าเพราะคิดว่าจะไม่ได้กลับมา และเมื่อครอบครัวและโรงเรียนที่ทำงานของเขาได้ทราบข่าวการหายตัวไปของเขา ก็จัดงานศพให้นายหญา อีกรอบหนึ่งที่บ้าน
ทั้งนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับการสูญเสีย ความเจ็บปวดในใจ และอุปสรรคความยากลำบากของทหารอาสาเวียดนามที่สนามรบในประเทศลาวยังมีอยู่อีกมากมาย แต่สำหรับพวกเขา นั่นถือเป็นความทรงจำแห่งความกล้าหาญ และเป็นความภาคภูมิใจเมื่อได้อุทิศตนต่อกระบวนการปกป้องเอกราชของทั้งสองประเทศ ซึ่งมีส่วนช่วยต่อการสร้างสรรค์และส่งเสริมมิตรภาพอันดีงามและความสมัคคีพิเศษระหว่างเวียดนามกับลาว การที่ได้เดินทางกลับสู่ปิตุภูมิและครอบครัว ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข พร้อมได้เห็นการพัฒนาและเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองประเทศนั้น ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่มีอะไรเทียบได้ พลตรี หวิ่งดั๊กเฮือง อายุ 103 ปี ซึ่งเคยร่วมสู้ศึกสงครามต่อต้านนักล่าเมืองขึ้นฝรั่งเศสและสหรัฐในสนามรบของประเทศลาว ได้เล่าในพิธีฉลองครบรอบ 45 ปีวันลงนามสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมืออย่างรอบด้านเวียดนาม-ลาว ที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 18 กรกฏาคม 2022 ณ กรุงฮานอย ว่า
“กองทัพทหารอาสาและบรรดาผู้เชี่ยวชาญเวียดนามได้ให้ความช่วยเหลือประเทศลาว พวกเราต่างรู้สึกดีใจและภูมิใจเกี่ยวกับผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ต่างๆ ที่ทั้งสองพรรคและรัฐได้บรรลุในกระบวนการปกป้องประเทศ รวมถึงการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของสัมพันธไมตรี ความสามัคคีพิเศษ และความร่วมมือในทุกด้านเวียดนาม-ลาวและลาว-เวียดนาม โดยเฉพาะในด้านการเมือง การต่างประเทศ กลาโหม และความมั่นคง”
พลตรี หวิ่งดั๊กเฮือง |
สำหรับทหารอาสาเวียดนามทุกนายนั้น ยังคงไม่ลืมถึงบุญคุณที่ประชาชนชาวลาวให้ความช่วยเหลือและความรักที่ช่วยให้พวกเขาสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศและเสร็จสิ้นภารกิจรวมประเทศเป็นเอกภาพ
“พวกเราสามารถรอดมาได้เพราะอาหารที่ได้รับจากประชาชนลาว”
“ในช่วงนั้น แม้ชีวิตความเป็นอยู่ยังประสบความยากลำบาก แต่พวกเขาก็นำสิ่งที่ดีที่สุดมามอบให้ทหารเวียดนาม”
“ผมยังจำได้ว่า ตอนที่ทำการขุดอุโมงค์ให้เพื่อนบ้านชาวลาว พวกเขาได้ทำข้าวต้มขาหมูมาให้พวกเรากิน เพราะรู้ว่าเราน่าจะหิวแล้ว ผมรู้สึกตื้นตันใจมากต่อการดูแลเอาใจใส่ท่ามกลางสนามรบที่ดุเดือดในตอนนั้น”
ความทรงจำเมื่อได้เป็นทหารอาสาและผู้เชี่ยวชาญที่ประเทศลาวของนาย เหงวียนวัยหญา |
ทั้งนี้ จากการชี้นำอย่างชาญฉลาด ความมุ่งมั่นตั้งใจอันแรงกล้า พร้อมความสมัคคี ความรักใคร่และช่วยเหลือซึ่งกันและกันของทหารและประชาชนทั้งสองประเทศ ทำให้ในท้ายที่สุดก็สามารถขับไล่ผู้รุกรานและกอบกู้เอกราช ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นประทีบนำทางให้แก่ความสามัคคีที่ใกล้ชิดและขบวนการคอมมิวนิสต์สากล ซึ่งสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้แก่ความสัมพันธ์มิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ ความสามัคคีพิเศษ และความร่วมมืออย่างรอบด้านที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก แม้อายุมากขึ้น แต่กลุ่มทหารอาสาเวียดนามยังคงเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่คนรุ่นหลัง ผ่านการบอกเล่าเรื่องราวและคำพูดต่างๆ รวมถึงกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม เช่น การสมัครเป็นผู้อุปถัมภ์ให้กับนักศึกษาชาวลาวในเวียดนาม ด้วยความปรารถนาที่จะวางรากฐานอันแข็งแกร่งต่อไปเพื่อให้มิตรไมตรีระหว่างเวียดนามกับลาวนับวันเจริญก้าวหน้าและยั่งยืนถาวรตลอดกาล.