|
ประธานประเทศเวียดนามกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น |
(VOVworld) – ในกรอบการเยือนญี่ปุ่นของท่านเจืองเติ๊นซาง ประธานประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 18 มีนาคม เวียดนามและญี่ปุ่นได้ออกแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับการสถาปนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่กว้างลึกเพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในเอเชีย
โดยทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องกันว่าจะปฏิบัติกลไกการสนทนาที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป เช่น คณะกรรมการร่วมมือเวียดนาม - ญี่ปุ่นในระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการสนทนาหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการพบปะแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องระหว่างผู้บริหารกรมที่เกี่ยวข้องของกระทรวงการต่างประเทศทั้งสองประเทศ
ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องกันที่จะร่วมกันปฏิบัติ “บันทึกช่วยจำระหว่างกระทรวงกลาโหมเวียดนามและกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นว่าด้วยความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนด้านกลาโหมทวิภาคี”ที่ได้ลงนามกันเมื่อปี 2011 ปฏิบัติการสนทนานโยบายกลาโหมระดับรัฐมนตรีช่วยเวียดนาม – ญี่ปุ่นต่อไป ขยายการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนทุกระดับ รวมทั้งระดับรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ระดับสูงและผู้เชี่ยวชาญ ขยายความร่วมมือระหว่างกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นกับกองทัพประชาชนเวียดนามและความร่วมมือพัฒนาแหล่งบุคลากร ยกระดับทักษะความสามารถและการเยี่ยมเยือนกันของเรือรบ ญี่ปุ่นได้แถลงว่า จะช่วยเหลือเวียดนามในการกู้กับระเบิดผ่านกองทุนสนับสนุนการผสมผสานญี่ปุ่น – อาเซียนหรือ JAIF
ทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันว่า จะขยายความร่วมมือในการเดินเรือในทะเลอย่างปลอดภัย ฝ่ายเวียดนามได้เรียกร้องให้จัดการเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงที่สนับสนุนด้านตุลาการโดยเร็ว การส่งมอบผู้ที่ถูกตัดสิน ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องกันว่า จะขยายความร่วมมือแก้ไขปัญหาความมั่นคงที่เกิดขึ้นใหม่ การก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ โจรสลัดและอาชญากรรมทางอินเตอร์เน็ต
ท่านเจืองเติ๊นซาง ประธานประเทศเวียดนามได้ชื่นชมความช่วยเหลือเวียดนามของญี่ปุ่นในด้านการปฏิรูปกฎหมายและตุลาการ ซึ่งรวมทั้งแก้ไขรัฐธรรมนูญและชื่นชมคำแถลงของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นชินโซ อาเบะว่าจะให้การสนับสนุนเวียดนามในด้านนี้ต่อไป
ญี่ปุ่นจะประสานงานอย่างใกล้ชิดต่อไปเพื่อดำเนินแผนการปฏิบัติให้แก่หน่วยงาน 6 หน่วยที่ถูกระบุในยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้กลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมในกรอบความร่วมมือเวียดนาม – ญี่ปุ่นมุ่งสู่ปี 2020 และวิสัยทัศน์ปี 2030 ญี่ปุ่นจะช่วยเวียดนามพัฒนาอุสาหกรรมประกอบและเป้าหมายการพัฒนาประเทศให้กลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัยในปี 2020ประสบความสำเร็จผ่านการยกระดับทักษะความสามารถในการวางแผนและปฏิบัตินโยบายอุตสาหกรรมของเวียดนาม
ญี่ปุ่นยืนยันถือเวียดนามเป็นหุ้นส่วนสำคัญในนโยบายให้เงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาหรือโอดีเอของญี่ปุ่นต่อไปเพื่อมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเวียดนาม
ทั้งสองฝ่ายได้ตัดสินใจที่จะขยายความร่วมมือในกรอบความตกลงร่วมมือที่ได้ลงนามเพื่อผลักดันการพัฒนาและการดำเนินโครงสร้างสาธารณูปโภคในเวียดนาม โดยยืนยันว่า การปรับปรุงบรรยากาศการลงทุนและผลักดันความร่วมมือทางการค้าเพื่อพยายามบรรลุเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าการค้าและกระแสเงินทุนไหลเข้าเวียดนามเป็นสองเท่าในปี 2020 ตลอดจนตั้งกลไกการสนทนาเพื่อร่วมมือในด้านการเกษตร ป่าไม้และสัตว์น้ำ โดยจะจัดการประชุมรอบแรก ณ เวียดนามในปี 2014
ทั้งสองฝ่ายได้ให้คำมั่นว่า จะร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น ไฟฟ้านิวเคลียร์ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การก่อสร้างและพัฒนาตัวเมือง สาธารณสุขและสวัสดิการสังคม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การพัฒนาแหล่งบุคลากร รับพยาบาลและผู้ฝึกงานทางเทคนิกในโรงพยาบาล ส่งเสริมการพบปะแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและประชาชน จัดตั้งกรอบการสนทนาเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การกีฬาและการพบปะในระดับประชาชน
สำหรับปัญหาภูมิภาคและโลก ทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันว่า จะขยายการประสานงานและความร่วมมืออย่างกว้างลึกในฟอรั่มภูมิภาคและระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ ฟอรั่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย – แปซิฟิกหรือเอเปก การประชุมสุดยอดเอเชีย – ยุโรปหรืออาเซ็ม การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกหรืออีเอเอส อาเซียน + 3 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอเซียนขยายวงหรือเอดีเอ็มเอ็ม + และฟอรั่มภูมิภาคอาเซียนหรือเออาเอฟ เป็นต้น มีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นและมีลักษณะสร้างสรรค์ต่อสันติภาพ เสถียรภาพ ความร่วมมือภายในภูมิภาคและโลก มุ่งสู่การฉลองครบรอบ 70 ปีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติในปี 2015 ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องกันว่า จะร่วมมือมากขึ้นเพื่อมุ่งสู่การปรับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติตามแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพ ความชอบธรรมและความโปร่งสัย ตลอดจนเพิ่มลักษณะการเป็นตัวแทนของคณะมนตรีฯอีกด้วย
ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องกันว่า จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดในกระบวนการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนภาคพื้นแปซิฟิกหรือทีพีพีและความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอย่างสมบูรณ์ในภูมิภาคหรืออาซีอีพี
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นชินโซ อาเบะได้ชื่นชนความพยายามของเวียดนามในการแก้ไขปัญหาในทะเล ซึ่งรวมทั้งความปลอดภัยในการเดินเรือในทะเลตามกฎหมายสากล ทั้งสองฝ่ายยืนยันว่า สันติภาพและเสถียรภาพในทะเลคือผลประโยชน์ร่วมของทั้งสองประเทศและของประชาคมระหว่างประเทศ ผู้นำทั้งสองท่านได้เห็นพ้องกันว่า ฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามกฎหมายสากล เช่น อนุสัญญาสหประชาชาติเกี่ยวกับกฎหมายทางทะเลปี 1982 และความสำคัญของการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยในการเดินเรือในทะเล ให้ความสำคัญต่อการเดินเรืออย่างเสรีในเขตน่านน้ำทะเลสากล ซึ่งรวมทั้งการเสรีในการเดินเรือในทะเล เขตน่านฟ้าและการค้า มีความอดกลั้นและแก้ไขปัญหาที่พิพาทด้วยสันติวิธีที่สอดคล้องกับหลังการตามกฎหมายสากลที่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ เช่น อนุสัญญาสหประชาชาติเกี่ยวกับกฎหมายทางทะเลปี 1982 ตลอดจนแลกเปลี่ยนทัศนะคติว่าร่างระเบียบการปฏิบัติต่อกันในทะเลตะวันออกหรือซีโอซีจะต้องร่างให้เสร็จโดยเร็ว./.