ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน และประธานประเทศเวียดนามเจิ่นด่ายกวาง |
โดยผู้นำทั้งสองประเทศได้เห็นว่า ทั้งสองประเทศต้องพยายามผลักดันความสัมพันธ์ทางการค้าให้สมกับความสัมพันธ์ทางการเมืองที่ดีงาม พยายามบรรลุเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าต่างตอบแทนขึ้นเป็น1หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี2020 ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อปฏิบัติข้อตกลงการค้าเสรีเวียดนาม-สหภาพเศรษฐกิจเอเชีย-ยุโรปที่มีผลบังคับใช้เมื่อเดือนตุลาคมปี2016เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อตกลงดังกล่าว ขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน สนับสนุนสถานประกอบการในกิจกรรมการส่งออกและนำเข้าและผลักดันการแลกเปลี่ยนทางการค้า
ทั้งสองประเทศได้เห็นพ้องที่จะปฏิบัติโครงการลงทุนต่างๆในแต่ละประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ โครงการร่วมทุนในด้านปิโตรเลี่ยมในเวียดนามและรัสเซีย โครงการอุตสาหกรรมเบาในรัสเซีย เร่งจัดตั้งบริษัทร่วมทุนผลิตรถยนต์ในเวียดนามบนพื้นฐานของพิธีสารระหว่างรัฐบาลเวียดนามกับรัสเซีย วิจัยโครงการร่วมมือใหม่ด้านพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน ความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกันในด้านการใช้พลังงานปรมาณูเพื่อเป้าหมายสันติภาพ ทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันที่จะร่วมมือในด้านกลาโหม ความมั่นคง หารือเกี่ยวกับปัญหาในภูมิภาคและโลกที่ให้ความสนใจร่วมกันและร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในฟอรั่มพหุภาคี
ภายหลังการเจรจา ประธานประเทศ เจิ่นด่ายกวางและประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูตินได้เป็นสักขีพยานในการลงนามเอกสารต่างๆ ในบ่ายวันเดียวกัน ประธานประเทศ เจิ่นด่ายกวางและประธานาธิบดีปูตินได้พบปะกับสื่อมวลชนและแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับผลสำเร็จของการเจรจา โดยประธานประเทศ เจิ่นด่ายกวาง ได้ยืนยันถึงแนวทางที่เสมอต้นเสมอปลายของเวียดนามคือให้ความสำคัญต่อการเสริมสร้างและผลักดันความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในทุกด้านกับรัสเซีย “ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในปีเอเปก2017ที่เวียดนามเป็นเจ้าภาพ เตรียมความพร้อมให้แก่การเยือนเวียดนามและเข้าร่วมการประชุมผู้นำเอเปกของประธานาธิบดีรัสเซีย ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับการผลักดันความพยายามเพื่อรักษาสันติภาพ เสถียรภาพ การรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยในการเดินเรือทางทะเลและการบินเพื่อความร่วมมือและการพัฒนา การแก้ไขปัญหาการพิพาทในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่างสันติ รวมทั้ง ปัญหาทะเลตะวันออก เวียดนามชื่นชมและมีความประสงค์ว่า รัสเซียจะมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันต่อการรักษาสันติภาพ เสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก”.