นายกรัฐมนตรีเวียดนามและนายกรัฐมนตรีกัมพูชาแถลงข่าวร่วมกันหลังการเจรจา (Photo VGP)
|
ในการนี้ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เหงียนซวนฟุ๊ก ได้แจ้งว่า ทั้งสองฝ่ายได้ประสบความสำเร็จในการเจรจาบนเจตนารมณ์แห่งมิตรภาพ ความไว้วางใจกันและมีความเห็นพ้องกันเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือระหว่างสองประเทศในเวลาที่จะถึง “ผมขอแจ้งว่า เมื่อปี 2016 ผมและสมเด็จ ฮุนเซนได้เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามพยายามให้มูลค่าการค้าต่างตอบแทนบรรลุ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 แต่ในปีนี้ มูลค่าการค้าต่างตอบแทนได้บรรลุกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นี่คือข่าวที่น่ายินดี โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยวมีการพัฒนาอย่างเข้มแข็ง โดยมีชาวเวียดนามไปเที่ยวประเทศกัมพูชา 1 ล้านคนและมีโครงการต่างๆกำลังได้รับการปฏิบัติ เวียดนามเป็น 1 ในประเทศที่ลงทุนในกัมพูชามากที่สุด ผมและท่านนายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้เห็นพ้องกันขยายและเสริมสร้างความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ โทรคมนาคม การท่องเที่ยว การบิน การเงิน ธนาคาร การเกษตร การแปรรูปสินค้าการเกษตร ป่าไม้และสัตว์น้ำ เป็นต้น โดยกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะปฏิบัติโครงการร่วมมือใหม่ๆหลังจากที่ข้อตกลงฉบับต่างๆได้รับการลงนามในโอกาสการเยือนเวียดนามครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรี ฮุนเซน”
นายกรัฐมนตรีเวียดนามยืนยันว่า ทั้งสองฝ่ายได้ย้ำถึงความตั้งใจในการร่วมกันธำรงสันติภาพ เสถียรภาพ รักษาความปลอดภัยและความมั่นคงในการเดินเรือและการบินในภูมิภาค แก้ไขการพิพาทด้วยสันติวิธีตามกฎหมายสากล โดยเฉพาะอนุสัญญาสหประชาชาติเกี่ยวกับกฎหมายทางทะเลปี 1982 และธำรงหลักการของอาเซียน
ส่วนสมเด็จ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ชื่นชมผลสำเร็จของเวียดนามภายใต้การนำที่ถูกต้องของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม รวมทั้งการที่เวียดนามได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติด้วยเสียงสนับสนุนข้างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนของประชาคมโลกต่อบทบาทและส่วนร่วมของเวียดนามในการแก้ไขปัญหาระดับภูมิภาคและโลก สมเด็จ ฮุนเซน เผยว่า การเยือนเวียดนามครั้งนี้มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์เนื่องจากได้เสร็จสิ้นและบรรลุผลที่น่ายินดีในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศคือจะลงนามในเอกสารสำคัญเกี่ยวกับชายแดนในวันที่ 5 ตุลาคม นอกจากความร่วมมือทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายยังหารือเกี่ยวกับปัญหาระดับภูมิภาคและโลกที่ต่างให้ความสนใจ.