นายกรัฐมนตรี เหงียนซวนฟุ๊กเจรจากับนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย สก็อตต์ มอร์ริสัน

Chia sẻ
(VOVWORLD) - ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีเวียดนามเหงียนซวนฟุ๊กและภริยา นาย สก๊อตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียและภริยาได้เดินทางมาเยือนประเทศเวียดนามอย่างเป็นทางการในระหว่างวันที่ 22-24 สิงหาคม หลังพิธีต้อนรับอย่างสมเกียรติ ณ ทำเนียบประธานประเทศเมื่อเช้าวันที่ 23 สิงหาคม นายกรัฐมนตรีเหงียนซวนฟุ๊กได้เจรจากับนายกรัฐมนตรี สก๊อตต์ มอร์ริสัน
นายกรัฐมนตรี เหงียนซวนฟุ๊กเจรจากับนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย สก็อตต์ มอร์ริสัน - ảnh 1นายกรัฐมนตรี เหงียนซวนฟุ๊กให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย สก็อตต์ มอร์ริสัน (Photo VNplus)

 ในการนี้ ผู้นำทั้งสองท่านได้แสดงความพอใจเกี่ยวกับการพัฒนาอย่างเข้มแข็ง คล่องตัวและมีประสิทธิภาพของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในเวลาที่ผ่านมา โดยเผยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมีความหลากหลายและยังมีศักยภาพอีกมาก ทั้งสองฝ่ายชื่นชมมูลค่าการค้าต่างตอบแทนในปี 2018 ที่บรรลุเกือบ 7.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การลงทุนของออสเตรเลียในเวียดนามอยู่ในระดับที่น่ายินดี โดยมีโครงการลงทุนเกือบ 500 โครงการรวมมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องกันที่จะจัดทำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งเพื่อติด1ใน 10 หุ้นส่วนการค้าชั้นนำของแต่ละฝ่ายและเพิ่มการลงทุนต่างตอบแทน ผลักดันการจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีเกี่ยวกับหุ้นส่วนความร่วมมือเศรษฐกิจเวียดนาม – ออสเตรเลียเพื่อผลักดันความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน การเชื่อมโยง ความมั่นคงด้านพลังงานและการใช้โอกาสจากเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งเศรษฐกิจดิจิทัลและรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะพยายามนำมูลค่าการค้าต่างตอบแทนขึ้นเป็น 1 หมื่นพันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2020

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า ความร่วมมือทวิภาคีด้านความมั่นคงและกลาโหมนับวันมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีเวียดนามได้เสนอขยายความร่วมมือในด้านที่มีศักยภาพ เช่น อุตสาหกรรมกลาโหม ความมั่นคงทางอินเตอร์เน็ตและการเชื่อมโยงในการฝึกอบรม

นอกจากความสัมพันธ์ทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับปัญหายุทธศาตร์ ความมั่นคงในภูมิภาคและโลกที่ต่างให้ความสนใจ

นายกรัฐมนตรี เหงียนซวนฟุ๊กเจรจากับนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย สก็อตต์ มอร์ริสัน - ảnh 2ภาพการเจรจา (Photo VNplus)

สำหรับสถานการณ์ในทะเลตะวันออก นายกรัฐมนตรีทั้งสองท่านแสดงความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อสถานการณ์ในทะเลตะวันออก รวมทั้งปฏิบัตการทางทหารและการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆที่กำลังมีการพิพาทและการขัดขวางโครงการปิโตรเลียมที่ได้ดำเนินงานในทะเลตะวันออกในเวลาที่ผ่านมา ผู้นำทั้งสองท่านยังย้ำถึงบทบาทสำคัญของเสรีภาพในการเดินเรือและการบิน การปฏิบัติตามกฎหมายสากลและการธำรงโครงสร้างของโลกตามกฎระเบียบวินัย นายกรัฐมนตรีทั้งสองท่านได้ยืนยันอีกครั้งว่า ทุกประเทศต้องแก้ไขการพิพาทด้วยสันติวิธี ไม่ใช้หรือข่มขู่ที่จะใช้กองกำลัง  พร้อมทั้งย้ำถึงบทบาทสำคัญของกลไกการแก้ไขการพิพาทของอนุสัญญาสหประชาชาติเกี่ยวกับกฎหมายทางทะเลเมื่อปี 1982 หรือ UNCLOS และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายให้ความเคารพและปฏิบัติตามอนุสัญญาดังกล่าว ผู้นำทั้งสองท่านยังยืนยันถึงความสำคัญของการปฏิบัติดีโอซีอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพและเรียกร้องให้การจัดทำร่างระเบียบการปฏิบัติต่อกันในทะเลตะวันออกหรือซีโอซีต้องสอดคล้องกับกฎหมายสากล โดยเฉพาะ UNCLOS

หลังการเจรจา นายกรัฐมนตรีทั้งสองท่านได้เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามเอกสารร่วมมือ 5 ฉบับในด้านต่างๆและร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนโดยนายกรัฐมนตรีเหงียนซวนฟุ๊กได้เผยว่า            “ผมและนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียพ้องกันที่จะยกเลิกกำแพงกีดกันด้านการค้า มีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนสถานประกอบการของทั้งสองประเทศให้มาลงทุนระหว่างกัน พยายามเพิ่มมูลค่าการค้าต่างตอบแทนจากเกือบ 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2018 ขึ้นเป็น 1 หมื่นล้านดอลลารสหรัฐภายในปี 2020 ผมขอชื่นชมรัฐบาลออสเตรเลียที่ได้ส่งคณะผู้แทนทุกระดับและสถานประกอบการชั้นนำมาแสวงหาโอกาสร่วมมือและประกอบธุรกิจในเวียดนาม รัฐบาลเวียดนามชื่นชมออสเตรเลียที่ได้สงวนเงินโอดีเอให้แก่เวียดนามต่อไปและให้คำมั่นในการใช้แหล่งเงินโอดีเอนี้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ส่วนนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียกล่าวว่า เนื้อหาต่างๆที่ทั้งสองฝ่ายได้หารือในครั้งนี้คือเงื่อนไขที่สำคัญเพื่อช่วยให้ประเทศต่างๆในภูมิภาคพัฒนาและใช้โอกาสอย่างเต็มที่เพื่อค้ำประกันสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค

ในโอกาสนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ ผู้นำทั้งสองประเทศได้ออกแถลงการณ์ร่วมยืนยันความสัมพันธ์ที่ดีงามที่ได้รับการเสริมสร้างและพัฒนาบนพื้นฐานของการให้ความเคารพและไว้วางใจกัน ความคล้ายคลึงในด้านผลประโยชน์และการเชื่อมโยงที่นับวันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ผู้นำสองท่านได้เห็นพ้องต่อการผลักดันความสัมพันธ์ทั้งในด้านกว้างและส่วนลึก มุ่งสู่การรำลึกครบรอบ50ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี2023.

Komentar