นาโต้ภายหลัง 75 ปีแห่งการก่อตั้ง

Quang Dung- VOV5
Chia sẻ

(VOVWORLD) -เมื่อวันที่ 4 เมษายนปี 1949 ณ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐ 12 ประเทศตะวันตกได้ลงนามข้อตกลงเกี่ยวกับการก่อตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต้ ภายหลัง 75 ปีแห่งการก่อตั้ง นาโต้ยังคงเป็นพันธมิตรทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีบทบาทสำคัญต่อเวทีความมั่นคงโลก

นาโต้ภายหลัง 75 ปีแห่งการก่อตั้ง - ảnh 1
นายพล Rob Bauer ประธานคณะกรรมการทางทหารของนาโต้ (Photo: Daily Messenger)
ภายหลัง 75 ปีที่ได้รับการก่อตั้ง นาโต้ไม่เพียงแต่เพิ่มจำนวนประเทศสมาชิกขึ้นเป็น 32 ประเทศเท่านั้น หากยังนับวันยังแสดงความทะเยอทะยานเกี่ยวกับการแผ่ขยายอิทธิพลนอกเขตแอตแลนติก

ขยายขอบเขตอิทธิพลและความทะเยอทะยาน

เมื่อวันที่ 4 เมษายนปี 1949 ณ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐ นาย แฮร์รี  ทรูแมน ประธานาธิบดีสหรัฐพร้อมผู้นำประเทศแคนาดาและ 10 ประเทศยุโรป ประกอบด้วย ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก เดนมาร์ก นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และโปรตุเกสได้ลงนามข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดตั้งพันธมิตรทางทหารระหว่างสองฟากมหาสมุทรแอตแลนติก จนถึงเดือนกันยายนปี 1949 สนธิสัญญาดังกล่าวเริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ในสภาวการณ์ที่โลกเพิ่งผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ดุเดือดและเตรียมย่างเข้าสู่สงครามเย็น การจัดตั้งนาโต้ถือเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ต่อภูมิภาคยุโรป-แอตแลนติก ภายหลัง 6 ปีที่ได้รับการก่อตั้ง นาโต้ได้รับสมาชิกใหม่ได้แก่ ตุรกีและกรีซเมื่อปี 1952 และสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีหรือเยอรมนีตะวันตกเมื่อปี 1955

ขอบเขตของนาโต้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่สงครามเย็นสิ้นสุดลงเมื่อต้นทศวรรษที่ 1990 ของศตวรรษก่อนด้วยการประกาศยุทธศาสตร์มุ่งสู่ทิศตะวันออกเพื่อรับประเทศสมาชิกในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกที่เคยเป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ ในช่วงปี 1999-2009 นาโต้ได้รับสมาชิกใหม่อีก 12 ประเทศในยุโรปกลาง ยุโรปตะวันออกและเขตบอลข่าน ซึ่งกระบวนการขยายจำนวนสมาชิกดังกล่าวมีจุดเปลี่ยนใหม่หลังจากที่เกิดการปะทะระหว่างรัสเซียกับยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 ผ่านการที่สองประเทศยุโรปเหนือคือฟินแลนด์และสวีเดนยกเลิกนโยบายความเป็นกลางทางทหารที่ปฏิบัติมาหลายศตวรรษเพื่อเข้าเป็นสมาชิกของนาโต้ ซึ่งทำให้จำนวนประเทศสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 32 ประเทศ นาย Robert Benson ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองของศูนย์เพื่อความก้าวหน้าอเมริกันหรือ CAP เผยว่า การที่นาโต้มีประเทศสมาชิกส่วนใหญ่มาจากยุโรปและอเมริกาเหนือ  ซึ่งในนั้น มีหลายประเทศที่เคยเผชิญหน้ากันในอดีตและมีความผูกพันกันสูงที่สุดผ่านมาตราที่ 5 ของสนธิสัญญาเกี่ยวกับการปกป้องสมาชิก ซึ่งเป็นความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ของนาโต้   

“ในประวัติศาสตร์ของยุโรป ได้เกิดการปะทะต่างๆ จนกระทั่งนาโต้ได้รับการก่อตั้งเมื่อปี 1949  สันติภาพที่ยั่งยืนจึงเกิดขึ้นในยุโรปและแอตแลนติก ดังนั้น ผมคิดว่า นี่เป็นความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดของนาโต้”

ควบคู่กับการเพิ่มจำนวนประเทศสมาชิกขึ้นเป็น 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงที่ก่อตั้ง นาโต้ยังได้ขยายความทะเยอทะยาน โดยเฉพาะหลังจากที่สงครามเย็นสิ้นสุดและสนธิสัญญาวอร์ซอล่มสลาย การที่นาโต้เปิดยุทธนาการทางทหารในยูโกสลาเวียเมื่อปี 1999 และส่งกำลังไปยังประเทศอิรัก อัฟกานิสถานและซีเรีย สร้างความถกเถียงภายในกลุ่มนาโต้เกี่ยวกับหลักการ “ป้องกัน”และขยายการปฏิบัติงานของกลุ่มนี้ ปัจจุบัน จากการที่มีงบประมาณคิดเป็นร้อยละ 70 ของงบประมาณด้านกลาโหมโลก นาโต้ยังคงเป็นพันธมิตรทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในโลกและการที่นาโต้มีแผนการขยายความสัมพันธ์หุ้นส่วนความมั่นคงนอกยุโรป- แอตแลนติกกำลังสร้างความวิตกกังวลจากหลายประเทศเกี่ยวกับความไม่สมดุลย์ด้านความมั่นคงโลก

นาโต้และความไม่มั่นคงจากเวทีการเมืองสหรัฐ

จากการเป็นประเทศมหาอำนาจทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในนาโต้และสมทบเงิน 2 ใน 3 ของงบประมาณของนาโต้ สหรัฐเป็นประเทศที่มีเสียงพูดที่สำคัญในนาโต้ ดังนั้น ทุกการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านการต่างประเทศและความมั่นคงของทางการสหรัฐต่างส่งผลกระทบต่อโครงสร้างองค์การและการดำเนินงานของนาโต้ นาย Nicholas Lokker นักวิจัยสังกัดศูนย์ความมั่นคงใหม่อเมริกาหรือ CNAS  เผยว่า นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐ เป็นนักการเมืองที่ให้ความสำคัญต่อบทบาทของนาโต้ แต่ประเทศพันธมิตรนาโต้ของสหรัฐอาจไม่มีความมั่นใจต่ออนาคตขององค์การนี้ถ้าหากอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปีนี้

ผู้เชี่ยวชาญของ CNAS เห็นว่า ความวิตกกังวลนี้สามารถเข้าใจได้เพราะในวาระที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงปี 2016-2020 นาย โดนัลด์ ทรัมป์ได้ตำหนินาโต้และบางประเทศสมาชิกของกลุ่มเกี่ยวกับการสมทบเงินเข้างบประมาณของนาโต้ ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเมื่อเร็วๆนี้ นาย โดนัลด์ ทรัมป์ได้มีคำประกาศต่างๆ ที่สร้างความวิตกกังวลให้แก่ประเทศพันธมิตรนาโต้เกี่ยวกับการที่สหรัฐอาจยกเลิกคำมั่นด้านความมั่นคงกับนาโต้ถ้าหากนาย โดนัลด์ ทรัมป์ได้รับชัยชนะ แต่อย่างไรก็ดี บรรดาผู้สังเกตการณ์เห็นว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปีนี้ยากที่จะคาดเดาได้และในสภาวการณ์ที่ความมั่นคงโลกมีความไร้เสถียรภาพในปัจจุบัน บทบาทของนาโต้ยังคงมีความจำเป็นต่อสหรัฐ นอกจากนี้ นายพล Rob Bauer ประธานคณะกรรมการทางทหารของนาโต้เผยว่า ถ้าพิจารณาในบางด้าน การที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์เสนอให้บรรดาประเทศสมาชิกนาโต้เพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมเป็นสิ่งที่จำเป็น

“นาโต้ได้ผ่านบางระยะที่เต็มไปด้วยความท้าทายในประวัติศาสตร์ คำพูดของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช่ต่อต้านนาโต้ แต่คือคำตำหนิประเทศสมาชิกที่ไม่สมทบเงินอย่างครบถ้วนให้แก่นาโต้  ผมคิดว่า คำตำหนิของนายโดนัลด์ ทรัมป์ว่า บางประเทศยุโรปและแคนาดาต้องเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง”

ตามข้อมูลต่างๆของนาโต้  ปัจจุบัน ประเทศสมาชิกนาโต้ส่วนใหญ่มีกระบวนการที่ชัดเจนในการบรรลุเป้าหมายสงวนงบประมาณอย่างน้อยร้อยละ 2 ของจีดีพีให้แก่งานด้านกลาโหม นอกจากนี้ นับตั้งแต่ปี 2014 จนถึงปัจจุบัน นาโต้ได้มีเงินเพิ่มเติมจำนวน 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐจากการสมทบของแคนาดาและประเทศสมาชิกยุโรป.


คำติชม