คุณ ปิยะกษิดิ์เดช เปลือยศรี |
ในปี พ.ศ. 2560 พบสถิตินักท่องเที่ยวชาวไทยเที่ยวในประเทศเวียดนามสูงถึง 301,587 คน ขณะที่ ปี พ.ศ. 2561 ในช่วง 2 ไตรมาสแรกพบจำนวนทั้งสิ้น 168,759 คน โดยหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมคือ เมืองซาปา จังหวัดหล่าวกาย ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ห่างจากเมืองฮานอย 350 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้ 2 วิธี วิธีการแรกคือ รถทัวร์โดยสารของ บริษัท Sa Pa Express บริษัท Interbus Lines บริษัท Hung Thanh Travel Bus บริษัท Queen Bus และบริษัท Good Morning ซึ่งจะขนส่งนักท่องเที่ยวเส้นทางฮานอย-เมืองซาปา ใช้เวลาทั้งสิ้น 5 ชั่วโมง ส่วนวิธีที่สองคือการเดินทางโดยรถไฟ จะใช้ระยะเวลาเดินทางทั้งสิ้น 8 ชั่วโมง แต่การเดินทางโดยรถไฟนั้น จะสิ้นสุดที่สถานีรถไฟหล่าวกาย เมื่อผู้โดยสารถึงสถานีปลายทาง จะต้องเดินทางโดยรถตู้ไปยังเมืองซาปาอีกประมาณ 40 กิโลเมตร
เหตุผลสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมเดินทางไปยังเมืองซาปา นอกเหนือจากการคมนาคมขนส่งที่สะดวกสบายนั้น คงเป็นผลมาจากลักษณะเด่นของเมืองซาปาหลักๆ 3 ประการ ดังนี้
ประการแรก ลักษณะเด่นด้านภูมิศาสตร์ เนื่องจากที่ตั้งของเมืองซาปาอยู่ท่ามกลางเทือกเขา ฮว่างเลียนเซิน (Hoang Lien Son) และเขาฟานซีปาน (Phan Xi Pang) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอินโดจีน จนถูกขนานนามว่า “หลังคาแห่งอินโดจีน” เพราะมีระดับความสูง 3,143 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล 1,500 เมตร ฉะนั้น การถูกโอบล้อมด้วยเทือกเขาสูงใหญ่ดังกล่าวส่งผลทำให้มีทัศนียภาพของเมืองสวยงามโดดเด่นเท่านั้น กอปรกับเป็นสถานที่ที่อุดมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ อาทิ น้ำตก ลำธาร ภูเขา และยอดเขาฟานซีป้าน เป็นต้น
ประการถัดมาคือ สภาพภูมิอากาศ การมีทำเลที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาสูงใหญ่ ส่งผลทำให้ซาปามีสภาพภูมิอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี มากไปกว่านั้นในช่วงฤดูหนาว (พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์) ยอดเขาต่างๆรวมทั้งตัวเมืองซาปาจะถูกหิมะปกคลุม ให้บรรยากาศไม่ต่างไปจากเที่ยวในประเทศแถบยุโรป กระทั่งในสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสเมืองนี้ถูกยกฐานะให้เป็น “เมืองหลบร้อน” (hill station) ปัจจุบันแม้จะสิ้นสุดยุค อาณานิคม เมืองซาปาก็ยังคงเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย
ที่พักตากอากาศของอาณานิคมฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1909 |
ประการสุดท้ายคือ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประชากรส่วนใหญ่ของเมืองซาปาล้วนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ พบมีทั้งสิ้น 6 กลุ่มชาติพันธุ์หลัก ประกอบด้วย ชนเผ่าม้ง ชนเผ่าเย้าแดง เหวียด ชนเผ่าไต่ ชนเผ่าไส ชนเผ่าฝู่หลา และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ โดยนัยนี้สะท้อนให้เห็นว่าเมืองซาปามีลักษณะเป็นเมืองศูนย์กลางความหลากหลายทางชาติพันธุ์ แต่เนื่องด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ม้งคือชนกลุ่มใหญ่ที่สุด การเดินทางท่องเที่ยวเมืองซาปาจึงเท่ากับการได้ชมความโดดเด่นของวัฒนธรรมชาวม้งนั่นเอง
สภาพที่พักตากอากาศที่มีให้บริการแก่นักท่องเที่ยวในปัจจุบัน |
จากเหตุผลข้างต้น เมืองซาปาจึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีลักษณะโดดเด่นทั้งทางด้านทุนธรรมชาติ และทุนด้านวัฒนธรรม ที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยว ทั้งการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Eco-tourism) การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (Cultural tourism) รวมไปถึงการท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงชาติพันธุ์ (Ethnic community-beased tourism) ซึ่งรูปแบบหลังสุดกลายเป็นกิจกรรมหลักของเมืองซาปาที่นี่ก็ว่าได้
ความสนุกสนานและความตื่นเต้นของการท่องเที่ยวเมืองซาปา มิเพียงแต่การพบเจอกับภูมิศาสตร์ที่รังสรรค์ทัศนียภาพที่สวยงาม และสภาพอากาศที่เย็นสบายให้กับเมืองซาปา ด้านหนึ่งเดินลัดเลาะตามถนนไปยังชุมชนชนเผ่าม้งเพื่อเรียนรู้และสัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนเหล่านี้ นับว่าเป็นการขับเน้นสีสันและปลุกเร้าอารมณ์นักท่องเที่ยวให้เกิดความรู้สึก “แปลกตา” (quaint) และ “แปลกใหม่” (exotic) ไม่น้อย โดยเฉพาะการเข้าไปร่วมพักและทำกิจกรรมตามแบบฉบับของชาวม้ง ก็ยิ่งเป็นการสร้างสุขให้กับชีวิตที่ซ้ำซากจำเจในเมืองที่ทันสมัยจนใครต่อใครต้องเอ่ยปากว่า “เวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปไวเสียจริงๆ”
ปัจจุบันวัฒนธรรมของชาวม้งไม่เพียงแต่มีบทบาทต่อการสร้างสุขให้นักท่องเที่ยว ทว่ายังมีบทบาทในการสร้างสีสันให้กับเมืองซาปาเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงค่ำของวันศุกร์และวันเสาร์ บริเวณจัตุรัสใจกลางเมืองซาปาจะคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากมีถนนคนเดินซึ่งจำหน่ายสินค้าโดยกลุ่มผู้หญิงชาวม้งและชาวเย้าแดง ใกล้กันยังมีการแสดงเต้นรำพื้นเมืองของชนเผ่าม้ง บรรยากาศบริเวณเวทีการแสดงหนาแน่นไปด้วยผู้คน ที่รอชมการแสดงและออกมาสัมผัสอากาศที่หนาวเย็นจากมวลเมฆที่พัดเข้าสู่ตัวเมือง เรียกได้ว่าหากคุณไปยังเซาปานอกจากจะได้เลือกซื้อสินค้าพื้นเมือง คุณยังจะได้ชมการแสดงของชาวม้งที่แสนเพลิดเพลินในม่านเมฆอีกต่างหาก
ถนนคนเดินในค่ำคืนวันศุกร์และวันเสาร์ |
การเที่ยวที่เมืองซาปาชวนให้ผมนึกไปไกลถึงบทเพลง “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” ของเต๋อ เรวัต เลยทีเดียว เพราะชื่อเพลงสมารถนำมาเทียบกับลักษณะสภาพภูมิศาสตร์และภูมิอากาศของซาปาได้เหมาะเจาะ เพราะตกกลางคืน อากาศบนที่สูงแห่งนี้ยิ่งต่ำลง บางวันอุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 1-2 องศา อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ผู้คนที่ซาปาเขาอยู่อย่างไร และนิยมทำกิจกรรมอะไรกันบ้าง เท่าที่ผมผ่านประสบการณ์มา โดยมากกลุ่มแม่บ้านมจะรวมตัวกันเพื่อเต้นลีลาศหรือกิจกรรมเข้าจังหวะ ส่วนกลุ่มวัยรุ่นชายและกลุ่มพ่อบ้านก็มักจะนิยมนั่งจิบชา ทานกาแฟ ส่วนอาหารที่ผู้คนที่นี่นิยมทานก็จะเป็นอาหารประเภทปิ้งย่าง หรือภาษาเวียดนามเรียกว่า “โด่ เหนือง” (Đồ nướng) และจิ้มจุ่มที่คนเวียดนามเรียกกันว่า “เลิ่ว” (Lẩu) อย่างไรก็ดี ช่วงเวลากลางคืนของที่นี่ นับเป็นช่วงเวลาที่แสนสนุกของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะเป็นเวลาที่ใครหลายคนได้พักผ่อนหย่อนใจ ออกกำลัง พบปะพูดคุยกับกลุ่มเพื่อน และที่สำคัญได้ทานอาหารมื้ออร่อยหลังจากเหนื่อยจากการทำงานทั้งวัน ผมเองก็มักจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมกับเพื่อนสนิทชาวเวียดนามอยู่เป็นประจำ
อาหารประเภทปิ้งย่าง หรือภาษาเวียดนามเรียกว่า “โด่ เหนือง” (Đồ nướng) |
ท้ายที่สุด ผมอยากจะแลกเปลี่ยน “สูตร” ความสนุกของการเที่ยวที่เมืองซาปาตามทัศนะของผมว่า การชมและเสพธรรมชาติที่สวยงาม สัมผัสอากาศที่หนาวเย็นสบาย และวัฒนธรรมชนเผ่าที่สวยงามนั้นเป็นเพียงเครื่องปรุงความสุขในยามเดินทางเที่ยวที่นี่ในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น แต่ความสุขที่แท้จริงและกลายเป็นเครื่องปรุงรสชาติให้ชีวิตสุขได้ยาวนานที่สุด คือการเข้าไปทำความรู้จักกับคนในพื้นที่และร่วมกิจกรรมกับผู้คน ความสุขเช่นนี้แม้ฟังดูอาจจะเป็นนามธรรมเกินไป อย่างน้อยเมื่อคิดถึงซาปาและสิ่งที่ทำร่วมกับผู้คนที่นั่น “ร้อยยิ้ม” มักจะปรากฏที่ใบหน้าผมเสมอ หากไม่เชื่อคุณต้องลองไป เพราะจะได้รู้ว่าอาการ “หลงรัก” ซาปาเป็นอย่างไร