เดือนเมษายนของทุกปีเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนกลุ่มประเทศอาเซียนอย่างลาว ไทย กัมพูชา และเมียนมาร์ เตรียมตัวต้อนรับปีใหม่ โดยองค์กรมิตรภาพและคณะทูตต่างประเทศประจำเวียดนามได้มีการประสานกับหน่วยงานท้องถิ่นในการจัดงานประเพณีอันพิเศษนี้ เพื่อมีส่วนช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมประเพณีของประเทศเพื่อนบ้านให้แก่ชาวเวียดนาม และเมื่อไม่นานมานี้ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอย ได้ร่วมกับสถาบันการทูตและกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม จัดงานเทศกาลสงกรานต์ ณ สถาบันการทูตเวียดนาม ซึ่งถือเป็นโอกาสนำเสนอเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของเทศกาลสงกรานต์ พร้อมสร้างความเชื่อมโยงในประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน
ท่ามกลางอากาศที่แจ่มใสและเย็นสบายของกรุงฮานอยในช่วงต้นเดือนเมษายน ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสบรรยากาศที่สนุกคึกครื้นด้วยเสียงเพลงบรรเล เสียงหัวเราะ การทักทายและพูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และภาษาเวียดนามของบรรดาเอกอัครราชทูตประเทศอาเซียนประจำเวียดนาม ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามและสถานบันการทูต รวมถึงเหล่านักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในกรุงฮานอย นายนิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย ได้กล่าวเปิดในงานว่า
“นี่เป็นครั้งแรกที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย ร่วมกับภาคเอกชนไทยและสถาบันการทูตเวียดนาม จัดงานเทศกาลสงกรานต์ ด้วยวัตถุประสงค์คือ นำเสนอเทศกาลปีใหม่ประเพณีของไทยให้แก่เยาวชน รวมถึงกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ให้รู้จักความหมายของเทศกาลสงกรานต์ พร้อมการปฏิบัติพิธีกรรมต่างๆ ในงานประเพณีแบบนี้”
บรรดาผู้แทนร่วมพิธีรดน้ำดำหัว |
เมื่อได้เดินเข้าบริเวณพื้นที่จัดงาน ทุกคนต่างให้ความสนใจโซนทำอาหารโดยเชฟไทยด้วยเมนูอาหารหลักคือขนมลูกชุบ ควบคู่กับอีก 2 บูธที่นำเสนออาหารพื้นเมือง เครื่องดื่ม และสินค้าที่มีชื่อเสียงต่างๆ ของไทย โดยภายในห้องสี่เลี่ยมขนาดราว 30 ตารางเมตร ซึ่งประดับประดาด้วยพวงมาลัยเล็กๆ ที่ร้อยด้วยมืออย่างพิถีพิถัน พร้อมรูปภาพที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างเวียดนามกับไทย เทศกาลทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย โดยเฉพาะภาพวาดวัดวาอารามที่มีชื่อเสียงหลายแห่งของไทยด้วยอัตลักษณ์ลวดลาย ที่โดดเด่น
พิธีรดน้ำดำหัว หรือการไปรดน้ำขอขมาและขอพรจากผู้ใหญ่ที่ตนเคารพนับถือ เป็นกิจกรรมที่ดึงดูดความสนใจของกลุ่มนักศึกษาและผู้เข้าร่วมงานมากที่สุด โดยบรรดาเอกอัครราชทูตประเทศอาเซียนและคู่สมรส พร้อมแขกผู้มีเกียรติทุกคน ได้รวมตัวกันที่โต๊ะทำพิธี ซึ่งมีขันเงินที่มีน้ำผสมน้ำอบไทยโรยด้วยกลีบกุหลาบ เพื่อให้กลุ่มนักศึกษาและเจ้าหน้าที่สถานทูตฯ รดน้ำขอพรจากบรรดาเอกอัครราชทูตและแขกร่วมงาน
“การเข้าร่วมงานครั้งนี้ช่วยให้ดิฉันมีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย โดยเฉพาะเทศกาลสงกรานต์ พร้อมมีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจ เช่น รำไทย อาหารไทย และการรดน้ำดำหัว”
“หนูรู้สึกดีใจมากที่ได้เข้าร่วมงานครั้งนี้ ซึ่งทำให้หนูรักภาษาไทย คนไทย และวัฒนธรรมไทยมากขึ้น ถ้ามีโอกาส หนูจะเดินทางไปเที่ยวเมืองไทยแน่นอน”
นอกจากการได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทศกาลสงกรานต์แล้ว นักศึกษาทุกคนยังได้เข้าร่วมกิจกรรมการละเล่นและลิ้มลองอาหารไทย พร้อมสัมผัสด้วยตนเองและร่วมเพลิดเพลินกับการรำต้อนรับปีใหม่ไทย นางสาว เลแอ๊งเจิม นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ของมหาวิทยาลัย FPT ได้กล่าวถึงความรู้สึกหลังเข้าร่วมงานครั้งนี้ว่า
“หนูชอบกิจกรรมรำไทยมากที่สุด ดูเหมือนว่ายาก แต่หลังจากได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดัดมือและการเคลื่อนไหวร่างกาย หนูก็สามารถทำตามได้ทันที ถึงแม้ยังไม่ถูกต้องทั้งหมด อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้หนูชอบรำไทยคือ การรำด้วยความผ่อนคลายพร้อมมีจังหวะ ไม่เร่งรีบแต่มีความคล่องตัวมาก”
นายนิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย กล่าวปราศรัยในพิธี
|
เนื่องจากไทยมีประชากรนับถือพุทธศาสนามากถึงร้อยละ 95 และศาสนาพุทธก็เป็นศาสนาประจำชาติ งานประเพณีสงกรานต์ต้อนรับปีใหม่จึงได้จัดขึ้นในวันแรกพุทธศักราช ซึ่งได้กำหนดจัดงานตรงกับช่วงวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี ตั้งแต่ปีค.ศ. 1941 นายนิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย เผยว่า
“งานประเพณีสงกรานต์เป็นช่วงวันหยุดยาวที่เปิดโอกาสให้ชาวไทยได้กลับบ้านไปหาครอบครัว ญาติมิตร และเพื่อนฝูง เหมือนช่วงตรุษเต๊ดของเวียดนามหรือคล้ายกับเทศกาลคริสต์มาสของชาวตะวันตก นอกจากนี้ รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันที่ 13 เมษายน เป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ เพื่อแสดงความสำนึกในบุญคุณต่อผู้อาวุโสที่อุทิศตนเพื่อครอบครัวและประเทศชาติม โดยชาวไทยจะกลับบ้านไปเยี่ยมผู้สูงอายุในครอบครัวและแสดงความเคารพนับถือด้วยพิธีรดน้ำดำหัวและมอบพวงมาลัย พร้อมด้วยคำอวยพรให้มีสุขภาพแข็งแรง มีความมั่งคั่ง และโชคดีในปีหน้า”
ทั้งนี้ เทศกาลสงกรานตต์ในกรุงฮานอยได้ช่วยให้เยาวชนเวียดนามและประชาชนประเทศอาเซียนมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทย พร้อมมีส่วนร่วมไม่น้อยในการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างเวียดนามกับไทย รวมถึงประชาชนทั้งสองประเทศ อีกทั้งสร้างพื้นฐานในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างเวียดนามกับไทยขึ้นสู่ขั้นสูงใหม่เพื่อประสบผลสำเร็จมากมายในด้านต่างๆ ในอนาคต.