ไม่อาจบิดเบือนความจริงของข้อตกลง EVFTA และกระบวนการผสมผสานของเวียดนาม

Thu Hoa
Chia sẻ
(VOVWORLD) - เมื่อวันที่ 12กุมภาพันธ์ รัฐสภายุโรป หรือ EP ได้ให้สัตยาบันข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างเวียดนามกับสหภาพยุโรป หรือ EVFTA และข้อตกลงการคุ้มครองการลงทุนระหว่างอียูกับเวียดนาม หรือ EVIPA ด้วยคะแนนเสียงในระดับสูง ซึ่งทำให้ความจงใจจากฝ่ายที่ไม่หวังดีที่พยายามบิดเบือนความเจริงเกี่ยวกับข้อตกลงเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไร้ความหมายและไม่สามารถขัดขวางกระบวนการผสมผสานเข้ากับกระแสโลกของเวียดนามได้
ไม่อาจบิดเบือนความจริงของข้อตกลง EVFTA และกระบวนการผสมผสานของเวียดนาม - ảnh 1 นายกรัฐมนตรีเหงวียนซวนฟุกได้เป็นสักขีพยานในการลงนามข้อตกลง EVFTA (VNA)

การที่ EPให้สัตยาบันข้อตกลง EVFTA ได้สร้างนิมิตหมายที่สำคัญให้แก่การพัฒนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนและความร่วมมือในทุกด้านระหว่างเวียดนามกับสหภาพยุโรปในตลอด 30ปีที่ผ่านมา โดยเวียดนามเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาประเทศแรกในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่มีความสัมพันธ์ด้านการค้าอย่างเสรีกับอียู อันเป็นการยืนยันถึงบทบาทและสถานะทางการเมืองและภูมิศาสตร์ที่สำคัญของเวียดนามในภูมิภาคและยืนยันว่า จากที่เป็นประเทศที่ปฏิบัติกระบวนการผสมผสานเข้ากับกระแสเศรษฐกิจโลกช้ากว่าประเทศอื่น ข้อตกลงนี้ได้ช่วยให้เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ในภูมิภาคที่เดินหน้าในกระบวนการดังกล่าวในยุคปัจจุบัน

สิ่งที่ไร้สาระ

ข้อตกลง EVFTA จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่ชัดเจนเพื่อกระตุ้นการขยายตัว การขยายตลาดรองรับสินค้าและการบริการ รวมทั้งนโยบายให้สิทธิพิเศษด้านภาษี โอกาสการลงทุนและประกอบธุรกิจให้แก่สถานประกอบการ การสร้างงานทำและรายได้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ใช้แรงงานทั้งในอียูและเวียดนาม แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เวียดนามและอียูกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อผลักดันให้ข้อตกลง EVFTAมีผลบังคับใช้เพื่อนำผลประโยชน์อย่างจริงจังมาสู่ทั้งสองฝ่าย ก็มีกลุ่มที่เป็นอริและพวกที่ฉกฉวยโอกาสทางการเมืองเพื่อต่อต้านรัฐเวียดนามได้ขยายปฏิบัติการต่างๆเพื่อขัดขวางกระบวนการดังกล่าวผ่านการยื่นเสนอรายงานและข้อเสนอที่เรียกร้องให้เลื่อน หรือ ยกเลิกการลงคะแนนให้สัตยาบันข้อตกลงEVFTAที่ทั้งอียูและเวียดนามได้สร้างสรรค์และสอดคล้องกับแนวโน้มการรักษาสันติภาพ และความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในปัจจุบัน แล้วยังเผยว่า นี่เป็นโอกาสให้องค์การ NGO ที่ดูแลงานด้านสิทธิมนุษยชน องค์กรสังคมและพลเรือนมีปฏิบัติการต่างๆ พร้อมทั้งผลักดันปฏิบัติการที่ขัดขวางและทำลายกระบวนการดังกล่าวในทุกรูปแบบ เช่น ขยายการพบปะต่างๆเพื่อใส่ร้ายป้ายสีและบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนและการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมในเวียดนาม แต่จากความเห็นของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิของมนุษย์ที่ระบุในข้อตกลง EVFTA มีความหมายที่ครอบคลุม โดยไม่เพียงแต่ระบุถึงสิทธิด้านพลเรือน การเมือง สิทธิการมีชีวิต สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สิทธิเสรีภาพด้านความเชื่อและการนับถือศาสนาเท่านั้น หากยังรวมไปถึงสิทธิด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม สิทธิได้ทำงานและได้รับผลประโยชน์จากนโยบายสวัสดิการสังคม สิทธิได้ไปโรงเรียน เข้าร่วมการชุมนุม พักผ่อนและเข้าร่วมกิจกรรมบันเทิงต่างๆ รวมไปถึงสิทธิเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงและการพัฒนาอีกด้วย ซึ่งข้อกำหนดเกี่ยวกับสิทธิเหล่านี้มีความผูกพันและสนับสนุนกันอย่างเข้มแข็งไม่อาจแยกออกจากกันได้ ซึ่งการที่อียูลงนามและอนุมัติข้อตกลง EVFTAกับเวียดนามแสดงให้เห็นว่า อียูให้ความสำคัญและรับทราบถึงความพยายามในการปฏิบัติสิทธิมนุษยชนอย่างมีประสิทธิภาพในเวียดนาม สำหรับการใส่ร้ายป้ายสีและบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับผลงานด้านสิทธิมนุษยชนของเวียดนาม ดร.กาวดึ๊กท้าย นักวิจัยเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนได้ชี้ชัดว่า"ข้ออ้างที่กลุ่มต่างๆใช้ขัดขวางข้อตกลงนี้เป็นสิ่งที่ไร้สาระและไร้มูลความจริง การเรียกร้องให้อียูไม่อนุมัติข้อตกลง EVFTA โดยใช้ข้ออ้างด้านสิทธิมนุษยชนคือการบิดเบือนความจริงและปฏิเสธระบอบสังคมนิยมเพื่อมุ่งเป้าทำลายชื่อเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม"

ไม่อาจบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับข้อตกลง EVFTA และกระบวนการผสมผสานของเวียดนาม
สถานการณ์ที่เป็นจริงแสดงให้เห็นว่า แนวทางและนโยบายของเวียดนามสอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศและปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ โดยตัวแทนประเทศและองค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งองค์การ NGO ได้ชื่นชมความพยายามค้ำประกันสิทธิมนุษยชนของเวียดนาม เวียดนามได้เผยแพร่นโยบายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน บังคับใช้และปกป้องสิทธิมนุษยชนควบคู่กับการปฏิบัติในด้านต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ ข้อตกลง EVFTA คือข้อตกลงความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนเพื่อกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ สร้างสรรค์บรรยากาศที่เอื้อให้แก่การพัฒนาของทั้งสองฝ่าย การที่บุคคลและองค์การที่ใช้ข้ออ้างจากสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนเพื่อสอดแทรกปัญหาทางการเมืองเพื่อขัดขวางการอนุมัติและการปฏิบัติข้อตกลงนี้ล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว รองศร.ดร.เตื่องยวีเกียน หัวหน้าสถาบันวิจัยสิทธิมนุษยชนสังกัดสถาบันรัฐศาสตร์แห่งชาติโฮจิมินห์ได้เผยว่า"การใช้ข้ออ้างจากประเด็นสิทธิมนุษยชนในเวียดนามคือสิ่งที่ไร้สาระและขาดภาวะวิสัย ไม่สะท้อนให้เห็นถึงผลสำเร็จด้านสิทธิมนุษยชนที่พรรค รัฐและประชาชนได้บรรลุในภารกิจการเปลี่ยนแปลงใหม่และผสมผสานในตลอดกว่า 30ปีที่ผ่านมาอย่างถูกต้อง โดยเวียดนามได้ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในการปกป้องและค้ำประกันสิทธิมนุษยชน ส่วนการปฏิบัติทุกเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษของเวียดนามก็ได้รับการชื่นชมจากนานาประเทศ"

ภายใต้การนำของพรรค การบริหารของรัฐและการปฏิบัติสิทธิการเป็นเจ้าของของประชาชนภารกิจการเปลี่ยนแปลงใหม่ของเวียดนามได้ประสบผลงานที่สำคัญในด้านต่างๆ สวัสดิการสังคมได้รับการค้ำประกันและได้รับการขยายมากขึ้น จนถึงปี 2015 เวียดนามได้เสร็จสิ้นเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษก่อนกำหนด ในการสนทนารายงานแห่งชาติว่าด้วยการปกป้องและผลักดันสิทธิมนุษยชนรอบที่3 ของสภาสิทธิมนุษยชนเมื่อวันที่ 22มกราคมปี 2019 ประชาคมโลกได้ชื่นชมและรับทราบถึงการปฏิบัติสิทธิด้านพลเรือน การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสังคมในเวียดนาม

ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่า การใช้ข้ออ้างที่เป็นการใส่ร้ายป้ายสีและบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนเพื่อขัดขวางและทำลายข้อตกลง EVFTA เป็นการเดินสวนทางกับผลประโยชน์ของประชาชาติ ต่อต้านประชาชนและทำลายแนวทางการผสมผสานด้านเศรษฐกิจและภารกิจการเปลี่ยนแปลงใหม่และการปฏิวัติเวียดนาม การที่ EP ให้สัตยาบันข้อตกลง EVFTAและ EVIPA ก็แสดงให้เห็นว่า การใส่ร้ายป้ายสีและบิดเบือนความจริงดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไร้สาระและไม่สามารถขัดขวางกระบวนการผสมผสานเข้ากับกระแสโลกอย่างเข้มแข็งของเวียดนามได้เป็นอันขาด.

คำติชม