พลโทอาวุโส เหงียนชี้หวิ่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและอดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำเวียดนาม เท็ดโอซิอุส จับดินที่ได้รับการชะล้างสารพิษที่สนามบินดานัง (ภาพจากกระทรวงการต่างประเทศ) |
การแก้ไขผลร้ายจากสงครามเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนับตั้งแต่ปรับความสัมพันธ์ทางการทูตให้เป็นปกติเมื่อปี 1995 ทั้งสองฝ่ายได้ให้คำมั่นที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหาด้านมนุษยธรรมและผลร้ายจากสงครามอย่างมีความรับผิดชอบโดยถือว่า นี่เป็นแรงผลักดันในการส่งเสริมความสัมพันธ์เวียดนาม - สหรัฐ
ผลที่ร้ายแรงจากสงคราม
แม้สงครามจะผ่านพ้นไป 46 ปี แต่ผลร้ายจากสงครามยังคงปรากฎให้เห็นในชีวิตตั้งแต่บาดแผลทางร่างกายของทหารผ่านศึกและประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปจนถึงความเจ็บป่วยและความพิการของผู้เคราะห์ร้ายจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซิน การพลัดพลากจากกันของหลายครอบครัว พืชพันธุ์ถูกทำลาย จนถึงพื้นที่หลายแห่งปนเปื้อนไปด้วยสารพิษหรือมีกับระเบิดตกค้างอยู่ ทำให้ผู้ที่รอดชีวิตจากสงครามยังคงต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากสงคราม รวมทั้งอัตราความพิการแต่กำเนิดในเวียดนามซึ่งสูงที่สุดในโลก
ไม่เพียงแต่เวียดนามที่ได้รับความเสียหายเท่านั้น แต่สหรัฐและพันธมิตรก็ได้รับความเสียหายทางด้านมนุษย์ไม่น้อยเช่นกันซึ่งทหารอเมริกันยังได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างหนัก มีอาการผิดปกติทางจิตเนื่องจากการบาดเจ็บหรือความกลัวที่ประสบในเวียดนามหรือ “เวียดนามซินโดรม” (Vietnam Syndrome) จำนวนทหารสหรัฐที่มีอาการป่วยทางจิตทั้งในระหว่างและหลังการสู้รบในเวียดนามถือว่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับสงครามที่สหรัฐเข้าร่วม
เอกอัครราชทูตสหรัฐ Daniel Kritenbrink จุดธูปที่สุสานทหารพลีชีพเพื่อชาติเจื่องเซิน (สถานทูตสหรัฐ)
|
ร่วมมือแก้ไขหน้าที่ด้านมนุษยธรรมและผลร้ายจากสงครามอย่างมีความรับผิดชอบ
นับตั้งแต่ปรับความสัมพันธ์ทางการทูตให้เป็นปกติ เวียดนามและสหรัฐได้ร่วมมือเพื่อแก้ไขผลร้ายจากสงคราม โดยเมื่อปี 2006 ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามบันทึกช่วยจำเพื่อความร่วมมือเกี่ยวกับโครงการสุขภาพและการชะล้างสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินในเวียดนามซึ่งสร้างนิมิตหมายที่สำคัญในการร่วมกันแสวงหามาตรการใหม่ให้แก่ปัญหาที่ซับซ้อน เมื่อปี 2012 สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐหรือ USAID ได้ร่วมมือกับกระทรวงกลาโหมเวียดนามในปฏิบัติโครงการ "ชะล้างสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินที่ตกค้างในบริเวณสนามบินดานัง" หลังจากเสร็จสิ้นโครงการนี้ เมื่อปี 2018 ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือเพื่อปฏิบัติโครงการชะล้างสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินในบริเวณสนามบินเบียนหว่าในระยะต่อไป
เมื่อปี 2020 สหรัฐได้ให้คำมั่นที่จะสนับสนุนเงิน 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่โครงการช่วยเหลือคนพิการในเวียดนามใน 8 จังหวัดที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษเป็นระยะเวลา 5 ปีเพื่อค้ำประกันให้คนพิการสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมอย่างรอบด้านและมีคุณภาพชีวิดีขึ้น อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำเวียดนาม Daniel Daniel J.Kritenbrink ได้ยืนยันว่า
“หนึ่งในเนื้อหาที่ได้รับความสนใจเป็นอันดับต้นๆในปัจจุบันคือความร่วมมือทวิภาคีในการแก้ไขปัญหาด้านมนุษยธรรมและผลร้ายจากสงคราม พวกเราเชื่อมั่นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในปัจจุบันเป็นการมุ่งสู่อนาคต และพวกเราก็มีความรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาที่คั่งค้างมาจากอดีต และปัญหาที่เกี่ยวข้องในอดีตที่สำคัญระหว่างสองประเทศคือ ความพยายามร่วมกันในการชะล้างสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินที่ตกค้างหลังสงคราม อีกตัวอย่างหนึ่งของการแก้ไขผลร้ายจากสงครามคือ พวกเรากำลังรักษาคนพิการใน 8 จังหวัดที่ถูกโปรยสารพิษใส่ในช่วงสงคราม และแน่นอนว่า ทั้งสองประเทศกำลังพยายามเป็นอย่างมากเพื่อค้นหาผู้สูญหายในสงคราม”
ในกว่า 10 ปีที่ผ่านมา สหรัฐได้สนับสนุนงบประมาณให้แก่เวียดนามหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อแก้ไขผลกระทบจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซิน ส่วนฝ่ายเวียดนามก็ช่วยสหรัฐในการค้นหาอัฐิทหารหลายพันคนที่สูญหายในช่วงสงครามเวียดนาม พลโท เหงียนชี้หวิ่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้ยืนยันว่า
“สหรัฐชื่นชมความร่วมมือของเวียดนามในการค้นหาชาวอเมริกันที่สูญหายในสงคราม อาจกล่าวได้ว่า นี่เป็นด้านความร่วมมือที่พวกเราภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเราทำเพื่อมนุษยธรรม ความรับผิดชอบและสร้างความไว้วางใจเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือกับสหรัฐ”
โดยทั่วไป เรามักพบเห็นได้ไม่บ่อยนักที่การแก้ไขผลกระทบจากสงครามได้มีส่วนร่วมที่สำคัญต่อกระบวนการปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติและสร้างความไว้วางใจเฉกเช่นความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับสหรัฐ ซึ่งเพื่อบรรลุผลงานในปัจจุบัน ทั้งสองฝ่ายได้ปล่อยวางความขัดแย้งในอดีตด้วยการยึดมั่นการปฏิบัติ มีวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์และความเชื่อมั่นอันแน่วแน่ต่ออนาคตที่สดใสของทั้งสองประเทศและสองประชาชาติ นี่ไม่เพียงแต่เป็นตัวอย่างของกระบวนการไกล่เกลี่ยระหว่างสองประเทศที่เคยเป็นศัตรูในอดีตไปสู่การเป็นมิตรและหุ้นส่วนในทุกด้านเท่านั้น หากยังเป็นตัวอย่างให้แก่การแก้ไขการปะทะในภูมิภาคและโลกในปัจจุบันอีกด้วย./.